แผ่นดินไทยใกล้จะสิ้น
โดย ระพี สาคริก
มติชนรายวัน วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552
เพื่อนไทยที่รักทุกคน ถ้าเธอยังมีวิญญาณความรักและความรับผิดชอบต่อแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเองอยู่ ในรากฐาน ฉันขอโอกาสนี้บอกความจริงกับเธอว่า ขณะนี้บ้านเมืองของเรากำลังใกล้จะสิ้นแผ่นดินอันเป็นที่เกิดและดำเนินชีวิต เข้าไปทุกขณะ
หวนกลับไปนึกถึงอดีต นับตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ หากเรามีคุณธรรมพอที่จะมองเห็นความสำคัญของจิตวิญญาณมนุษย์ที่มีความรักความ ผูกพันอยู่กับแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเองจนกระทั่งเป็นจารีตประเพณีที่ช่วยให้ บ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัยมาตั้งแต่ในสมัยประวัติศาสตร์ เราก็คงไม่ทำอะไรอย่างขาดความฉลาดเฉลียว ดังเช่นเมื่อปี พ.ศ.2475 ที่ มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งไปคว้าเอาเปลือกนอกของวัฒนธรรมทางการเมืองมาจากฝรั่ง หลังจากนั้นจึงนำมาใช้กำลังทหารติดอาวุธเข้าไปยึดราชบัลลังก์ของพระบาท สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยอ้างว่าพวกตนต้องการประชาธิปไตย
ขณะนั้นแม้กลุ่มบุคคลดังกล่าวจะมีการศึกษา แต่การจัดการศึกษาก็หล่อหลอมคนให้นิยมวัตถุจนกระทั่งขาดการเห็นความสำคัญของ จิตวิญญาณมนุษย์ ดังนั้น ผลจากการกระทำครั้งนั้น ถ้าจะกล่าวว่าเป็นเพราะขาดการรู้ถึงดวงวิญญาณที่ให้ความรักความผูกพันอยู่ กับคนระดับล่าง ซึ่งเป็นรากฐานของประชาธิปไตยที่เรามีมาแล้วตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์จน กระทั่งเป็นจารีตประเพณี
ดังนั้น ปัญหาที่เริ่มเกิดขึ้นในครั้งนั้นมันก็บานปลายออกมาเรื่อยๆ แล้วเราจะบอกว่าประชาธิปไตยมันล้มลุกคลุกคลานมาจนถึงบัดนี้ ฉันว่ามันไม่ใช่ล้มลุกคลุกคลาน แต่มันทำให้สังคมไทยทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ เพราะการใช้อำนาจจากด้านบนลงสู่ด้านล่าง หรืออีกนัยหนึ่งอาจเรียกว่าการเผด็จการโดยใช้โครงสร้างทางการเมืองเป็น เครื่องมือ
ที่สำคัญที่สุดก็คือ จากวันนั้นมาถึงวันนี้ "ประเทศ สยามก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นชื่อประเทศไทยเพราะต้องการตามก้นฝรั่งเพื่อหวังหา เงินเข้าประเทศ โดยไม่รู้ว่าเงินเหล่านั้นมันกำลังแผลงฤทธิ์จากการเข้ามาซื้อจิตวิญญาณคนไทย ภายในประเทศอย่างที่เห็นอยู่ในขณะนี้"
โดย เฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองหรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวว่า เอกราชอธิปไตยภายในวิญญาณการจัดการศึกษา เหตุแห่งการสูญเสียก็เพราะว่าเราเข้าใจคำว่าการศึกษาโดยเอาชีวิตไปฝากไว้กับ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเพียงสิ่งสมมุติ แทนที่จะเข้าใจได้ถึงรากฐานว่า การ ศึกษาที่แท้จริงนั้นหมายถึงจิตวิญญาณในการเรียนรู้จากธรรมชาติที่ปรากฏ เปลี่ยนแปลงอยู่บนแผ่นดินถิ่นเกิดของแต่ละคนซึ่งเป็นรากเหง้าของการศึกษาที่ แท้จริง เท่าที่ผ่านพ้นมาแล้วทำให้เราจำต้องสูญเสียการศึกษาเกษตรโดยเฉพาะรากฐานซึ่ง หลุดไปทีละชิ้นสองชิ้น
แม้เกษตรอินทรีย์ที่ เรากำลังโหยหาอยู่ในขณะนี้ แท้จริงแล้วเราก็มีอยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน แต่เป็นเพราะขาดความรู้ที่เกิดจากจิตวิญญาณจึงขาดการคิดได้ถึงความจริงว่า การศึกษาที่แท้จริงนั้นมันไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัย หากอยู่ที่จิตวิญญาณความรักแผ่นดินถิ่นเกิดของคนท้องถิ่น เช่นเดียวกันกับการมองประชาธิปไตยอย่างขาดการให้ความสำคัญแก่จิตวิญญาณอัน เกิดจากคนท้องถิ่น
ฉันได้เคยพูดย้ำแล้วย้ำ อีกว่า ชีวิตเกษตรกรคือวิญญาณความรักท้องถิ่นโดยเฉพาะแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง แต่การจัดการศึกษาที่ขาดการรู้เท่าทันต่ออิทธิพลจากรูปวัตถุ ผลจากการปฏิบัติเท่าที่ผ่านพ้นมาแล้ว ยิ่งทำโดยคิดว่าสร้างสรรค์ มันก็ยิ่งทำลาย โดยเฉพาะการทำลายรากฐานของตัวเองมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ความ จริงสิ่งที่ฉันกล่าวมาถึงบัดนี้นั้น มันเป็นเพียงส่วนย่อเพื่อเสนอให้เธอทั้งหลายอ่านแล้วนำไปคิดทบทวนตัวเองให้ เห็นถึงความอ่อนแอของการเกษตรไทยอันควรทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าแผ่นดินแต่กลับ เป็นไปได้ยาก
ดังนั้น ถ้าใครสนใจที่จะอ่านเรื่องนี้อย่างละเอียด ขอให้รอไว้อ่านในหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งคงเกิดขึ้นอีกไม่ช้าไม่นานภายใต้ชื่อ ว่า "วิญญาณความรักของเกษตรกรไทย" โดยมีข้อมูลและคำอธิบายที่ละเอียดและลึกซึ้งยิ่งกว่านี้
การประชุมอาเซียนที่จัดขึ้นที่หัวหินในขณะนี้นั้น แม้แต่การจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศที่เรียกกันว่า "กลุ่มประเทศอาเซียน" มันก็ถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยเอาเยี่ยงมาจากฝรั่ง หลังจากที่มีการรวมตัวของกลุ่มประเทศในยุโรป กลุ่มประเทศอาเซียนได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยคนไทยที่ขึ้นไปมีอำนาจในการบริหาร กิจการต่างประเทศ โดยที่ขาดการรู้ได้ว่า "กลุ่มยูโร นั้นเขามีศูนย์รวมทางวัฒนธรรมเป็นหนึ่งเดียวกันดังเช่นการมีกษัตริย์ที่มา จากศูนย์รวมเดียวกัน แต่กลุ่มอาเซียนนั้นหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ แม้แต่ในด้านวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยสำคัญๆ ในสหรัฐอเมริกาก็ยังมาแบ่งแยกออกเป็นสองกลุ่มเพื่อทำการวิจัยทางสังคม กลุ่มหนึ่งได้แก่วัฒนธรรมบนพื้นฐานอาหรับ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งได้แก่วัฒนธรรมจีน ดังตัวอย่างเช่น ไทย ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม และจีน เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นในกลุ่มวัฒนธรรมจีนด้วยกันก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ"
ดังนั้น ภายในกลุ่มอาเซียนเองจึงมีปัญหาที่แฝงอยู่ในกระบวนการ ทำให้รวมตัวกันได้ยากมาก
การ ที่กล่าวว่าเราไม่ควรตามก้นฝรั่งนั้น หาใช่ว่าวัฒนธรรมฝรั่งจะไม่ดี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่พื้นฐานตัวเอง แม้ว่ามันจะดีมันก็ดีสำหรับเขา หาใช่คว้าเอามาทำให้ตัวเราเองขาดการพึ่งพาตนเองเพราะรากฐานเราถูกทำลาย แล้วการพัฒนาตัวเองของเรามันจะไปถึงเป้าหมายได้ยังไง นอกจากยิ่งทำเราก็ยิ่งสูญเสียของดีที่มันควรจะมีอยู่ในรากฐานลึกซึ้งยิ่ง ขึ้น
ดังนั้น มาถึงบัดนี้เรากำลังใกล้จะสูญเสียแผ่นดินถิ่นเกิดของเราเองเข้าไปทุกขณะ
แม้ แต่ในการจัดการศึกษา เราก็ยังขาดความเป็นตัวของตัวเอง คงเอาแต่ตามก้นคนอื่นเขาเรื่อยไป ดังจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีที่เราเชื่อว่ามันจะสร้างความเจริญก้าวหน้า แต่เป็นเพราะเราไปตามก้นคนอื่นจึงทำให้ในขณะนี้ผลจากการใช้เทคโนโลยีข้าม ชาติแทนที่จะอำนวยประโยชน์มันกลับส่งผลทำลายเศรษฐกิจของชาติบ้านเมืองชัดเจน ยิ่งขึ้น
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งควรจะ เป็นแม่แบบของการพัฒนาการเกษตรไทย กลับกลายเป็นสถาบันที่คนในสถาบันส่วนใหญ่อยู่อย่างนอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น แม้ภัยกำลังใกล้จะถึงตัวเข้าไปทุกที แต่หลายคนก็ยังอยู่อย่างไม่เอาไหน
เรื่องนี้ ฉันเขียนมาพอสมควรแล้วก็ใคร่จะสรุปว่า ขณะ นี้ได้มีหนอนบ่อนไส้แทรกเข้าไปในระบบการประชุมกลุ่มประเทศอาเซียนและนำ เสนอขอให้ประเทศไทยเปิดประตูให้ชาติอื่นๆ เข้ามาทำการเกษตรภายในประเทศได้อย่างอิสระ นับตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์พืช การปลูกป่า และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ซึ่งถ้ามองให้ลึกก็คือการเข้ามายึดครองแผ่นดินไทย
เมื่อเราจำต้องสูญเสียแผ่นดินเราก็ย่อมสิ้นชาติในที่สุด ซึ่งแท้จริงแล้วกฎข้อนี้มันก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นความคิดแบบทิศทางเดียว หากแต่ละประเทศซึ่งประเมินตัวเองแล้วว่าเกษตรกรยังขาดความเข้มแข็งพอที่จะ สร้างสมดุลให้เกิดขึ้นเพื่อความชอบธรรม ก็ยังสามารถที่จะปฏิเสธและสงวนสิทธิได้ ดังเช่นที่ฟิลิปปินส์ก็ดี เวียดนามก็ดี และมีอีกบางประเทศที่เขาได้ออกมาสงวนสิทธิในเรื่องนี้ แต่ประเทศไทยกลับมีหนอนบ่อนไส้แทรกซึมเข้าไปเป็นตัวแทนของอิทธิพลต่างชาติ ซึ่งขณะนี้เราได้สืบรู้มาค่อนข้างชัดเจนแล้วว่ามีใครมาจากไหน
ซึ่งบุคคลเหล่านี้ควรจะถูกตราหน้าว่า "เป็น คนที่มีร่างกายอาศัยแผ่นดินไทยเป็นที่เกิด แต่ขาดจิตวิญญาณที่ควรจะรักแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเองให้เป็นที่ภูมิใจในฐานะ ที่ตนเกิดบนแผ่นดินผืนนี้โดยแท้"
ในหนังสือที่จะพิมพ์ออกมาเผยแพร่สู่เพื่อนไทยทุกคนนั้น ฉันได้เขียนด้วยลายมือตัวเองเอาไว้ด้านหลังว่า "บุคคล ใดที่รากฐานจิตใจของบุคคลนั้นขาดความอิสระ แม้วิถีการดำเนินชีวิตที่เห็นแก่เงินและความสะดวกสบายจากรูปวัตถุเป็นใหญ่ โดยไม่นึกถึงความมั่นคงปลอดภัยของแผ่นดินแม่ หากนำเอากิเลสของตัวเองมาใช้เปิดโอกาสให้คนต่างชาติต่างภาษาเข้ามาแสวงหา ความสำราญบนแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเอง ย่อมสมควรอย่างที่สุดที่จะถูกประณามว่า เป็นคนขายชาติ"
ณ โอกาสนี้ฉันต้องขอขอบคุณแทนประชาชนทุกคนที่ยังมีจิตวิญญาณให้ความรักความ ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินแม่ของเรา ไม่ว่าจะทำงานเป็นอะไรก็ตาม ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันผนึกกำลังสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรท้องถิ่น ซึ่งเป็นเสมือนยามเฝ้าแผ่นดินบนพื้นฐานเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็งเพื่อ ต่อสู้กับภัยอันตรายทั้งหลาย ซึ่งก็คงไม่เพียงด้านเดียว หากอีกด้านหนึ่งควรจะลากคอเอาหนอนบ่อนไส้ออกมาให้ผู้คนได้เห็นเป็นพยานแห่ง ความชั่วร้ายให้ได้ในอนาคต
ที่มา คัดลอกจาก http://www.measwatch.org/autopage/show_page.php?t=20&s_id=1828&d_id=1828