นิราศเมืองแกลง แต่งโดยสุนทรภู่ โดยเป็นนิราศเรื่อง แรกที่ได้แต่งขึ้นในปี พ.ศ. 2349 มีใจความกล่าวถึงการเดินทางโดยเรือเพื่อกลับไปเมืองแกลง โดยมีศิษย์ 2 คนร่วมโดยสารไปด้วยกัน คือ น้อยกับพุ่ม ซึ่ง นักวิชาการไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าสุนทรภู่กลับไปทำไม แต่ทางจังหวัดระยองได้นำเรื่องราวอิงประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นไปสร้างเป็น อนุสาวรีย์สุนทรภู่ที่เมืองแกลง
นิราศเมืองแกลง
สุนทรภู่ถือกำเนิดลืมตาดูโลกในสมัยรัตนโกสินทร์ คือหลังจากสร้างกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว 5 ปี บิดามารดาของสุนทรภู่แยกกันอยู่ตั้งแต่สุนทรภู่ยังเล็กมาก มารดาแต่งงานใหม่ ขณะที่บิดากลับไปอยู่เมืองแกลง จังหวัดระยองบ้านเกิด
สุนทรภูเองเมื่อเติบโตเป็นหนุ่มได้ลอบรักกับแม่จัน ซึ่งเป็นคนในวัง วันหนึ่งถูกจับได้ สุนทรภู่ถึงกับต้องถูกจำขัง แต่กระนั้นในที่สุดผู้ใหญ่ก็หมดความสามารถจะขัดขวางความรักของสุนทรภู่กับ แม่จัน ด้วยเหตุนี้มารดาจึงสู่ขอแม่จันตามประเพณี
ก่อนที่ความรักจะสมหวัง สุนทรภู่โศกเศร้ามากเพราะถูกขัดขวางในที่สุดตัดสินใจเดินทางไป บ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง อันเป็นสถานที่บิดาบวชอยู่ หมายใจว่าจะบวชล้างเสนียดจัญไรของคุกตาราง แต่ระหว่างการเดินทาง สุนทรภู่เป็นไข้ป่าจึงไม่ได้บวชดังที่ตั้งใจไว้
ตอนที่สุนทรภู่เดินทางไปเมืองแกลงนั้น อายุราว 21 ปี มีลูกศิษย์ไปด้วย 3 คนคือ นายน้อย นายพุ่ม และนายแสง ทั้งสี่ลงเรือเดินทางผ่านตำบลต่างๆไปขึ้นบกที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัดระยอง บทกลอนที่สุนทรภู่เขียนขึ้นระหว่างการเดินทางไปเมืองแกลงนี้เองเรียกว่า นิราศเมืองแกลงนับว่าเป็นนิราศเรื่องแรกในชีวิตของสุนทรภู่ซึ่งเขียนในวัย 21 ปี สุนทรภู่บรรยายภาพชีวิตของชาวบ้านที่มองเห็นสองฝั่งลำน้ำอย่างละเอียด อีกทั้งอธิบายลักษณะการทำมาหากินต่างๆตามการตั้งถิ่นฐานของบ้านเรือน สิ่งแวดล้อม สภาพภูมิศาสตร์ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาวัฒนธรรม และภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของหมู่บ้านไทย
นายตำรา ณ เมืองใต้ได้ไห้ข้อวินิจฉัยว่า " เป็นนิราศเรื่องยาวที่สุดเรื่องหนึ่งของสุนทรภู่ และเขียนพรรณาละเอียดดีนัก สำนวนกลอนก็เป็นเสน่ห์เป็นแบบกลอนตลาดแท้ คือว่าไม่ค่อยจะมีศัพท์แสง แต่สุนทรภู่สรรค์คำดีเหลือเกิน"
ระหว่างที่สุนทรภู่อยู่ที่เมืองแกลงได้ล้มป่วยลง และมีหลานชื่อม่วงกับคำช่วยดูแลพยาบาล จากเนื้อหาในนิราศดูทีว่าจะหลงรักสุนทรภู่ด้วย ดังนั้นเมื่อสุนทรภู่เดินทางกลับจึงเกิดความอาลัยกันขึ้นทั้งสองฝ่าย
กลอนนิราศเมืองแกลง
๏ โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาท จึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจร ไปดงดอนแดนป่าพนาวัน
กับศิษย์น้องสองนายล้วนชายหนุ่ม น้อยกับพุ่มเพื่อนไร้ในไพรสัณฑ์
กับนายแสงแจ้งทางกลางอารัญ จะพากันแรมทางไปต่างเมืองฯ
๏ ถึงยามสองล่องลำนาวาเลื่อน พอดวงเดือนดั้นเมฆขึ้นเหลืองเหลือง
ถึงวัดแจ้งแสงจันทร์จำรัสเรือง แลชำเลืองเหลียวหลังหลั่งน้ำตา
เป็นห่วงหนึ่งถึงชนกที่ปกเกล้า จะแสนเศร้าครวญคอยละห้อยหา
ทั้งจากแดนแสนห่วงดวงกานดา โอ้อุรารุ่มร้อนอ่อนกำลัง
ถึงสามปลื้มพี่นี้ร่ำปล้ำแต่ทุกข์ สุดจะปลุกใจปลื้มให้ลืมหลัง
ขออารักษ์หลักประเทศนิเวศน์วัง เทพทั้งเมืองฟ้าสุราลัย
ขอฝากน้องสองรามารดาด้วย เอ็นดูช่วยปกครองให้ผ่องใส
ตัวข้าบาทจะนิราศออกแรมไพร ให้พ้นภัยคลาดแคล้วอย่าแพ้วพาน
ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน
มีซุ้มซอกตรอกนางเจ้าประจาน ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง
โอ้ธานีศรีอยุธยาเอ๋ย นึกจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์
จะลำบากยากแค้นไปแดนดง เอาพุ่มพงเพิงเขาเป็นเหย้าเรือนฯ
๏ ถึงย่านยาวดาวคะนองคะนึงนิ่ง ยิ่งดึกยิ่งเสียใจใครจะเหมือน
พระพายพานซ่านเสียวทรวงสะเทือน จนเดือนเคลื่อนคล้อยดงลงไรไร
โอ้ดูเดือนเหมือนดวงสุดาแม่ กระต่ายแลเหมือนฉันคิดพิสมัย
เห็นแสงจันทร์อันกระจ่างค่อยสร่างใจ เดือนครรไลลับตาแล้วอาวรณ์
ถึงอารามนามชื่อวัดดอกไม้ คิดถึงไปแนบทรวงดวงสมร
หอมสุคนธ์ปนกายขจายจร โอ้ยามนอนห่างนางระคางคาย
ถึงบางผึ้งผึ้งรังก็รั้งร้าง พี่ร้างนางร้างรักสมัครหมาย
มาแสนยากฝากชีพกับเพื่อนชาย แม่เพื่อนตายมิได้มาพยาบาล
ถึงปากลัดแลท่าชลาตื้น ดูเลื่อมลื่นเลนลากลำละหาน
เขาแจวจ้วงล่วงแล่นแสนสำราญ มาพบบ้านบางระเจ้ายิ่งเศร้าใจ
อนาถนิ่งอิงเขนยคะนึงหวน จนจวบจวนแจ่มแจ้งปัจจุสมัย
ศศิธรอ่อนอับพยับไพ ถึงเซิงไทรศาลพระประแดงแรง
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สิงศาล ลือสะท้านอยู่ว่าเจ้าห้าวกำแหง
ข้าจะไปทางไกลถึงเมืองแกลง เจ้าจงแจ้งใจภัคนีที
ฉันพลัดพรากจากจรเพราะร้อนจิต ใช่จะคิดอายอางขนางหนี
ให้นิ่มน้องครองรักไว้สักปี ท่านสุขีเถิดข้าขอลาไป
พอแจ่มแจ้งแสงเงินเงาระยับ ดาวเดือนดับเด่นดวงพระสุริย์ใส
ถึงปากช่องคลองสำโรงสำราญใจ พอน้ำไหลขึ้นเช้าก็เข้าคลอง
เห็นเพื่อนเรือเรียงรายทั้งชายหญิง ดูก็ยิ่งทรวงช้ำเป็นน้ำหนอง
ไม่แม้นเหมือนคู่เชยเคยประคอง ก็เลยล่องหลีกมาไม่อาลัย
กระแสชลวนเชี่ยวเรือเลี้ยวลด ดูค้อมคดขอบคุ้งคงคาไหล
แต่สาชลเจียวยังวนเป็นวงไป นี่หรือใจที่จะตรงอย่าสงกา
ถึงด่านทางกลางคลองข้างฝั่งซ้าย ตะวันฉายแสงส่องต้องพฤกษา
ออกสุดบ้านถึงทวารอรัญวา เป็นทุ่งคาแฝกแขมขึ้นแกมกัน
ลมระริ้วปลิวหญ้าคาระยาบ ระเนนนาบพลิ้วพลิกกระดิกหัน
ดูโล่งลิ่วทิวรุกขะเรียงรัน เป็นเขตคันขอบป่าพนาลัยฯ
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านกร่ำพอค่ำพลบ ประสบพบเผ่าพงศ์พวกวงศา
ขึ้นกระฎีที่สถิตท่านบิดา กลืนน้ำตาก็ไม่ฟังเฝ้าพรั่งพราย
ศิโรราบกราบเท้าให้เปล่าจิต รำคาญคิดอาลัยมิใคร่หาย
ชะรอยกรรมทำสัตว์ให้พลัดพราย จึงแยกย้ายบิตุราชญาติกา
มาพบพ่อท้อใจด้วยไกลแม่ ให้ตั้งแต่เศร้าสร้อยละห้อยหา
ชนนีอยู่ศรีอยุธยา บิดามาอ้างว้างอยู่กลางไพร
ภูเขาขวางทางกั้นอรัญเวศ ข้ามประเทศทุ่งท่าชลาไหล
เดินกันดารปานปิ้มจะบรรลัย จึงมาได้เห็นหน้าบิดาตัว
ท่านชูช่วยอวยพรให้ผ่องแผ้ว ดังฉัตรแก้วกางกั้นไว้เหนือหัว
อุตส่าห์ฝนไพลทารักษาตัว ค่อยยังชั่วมึนเมื่อยที่เหนื่อยกาย
บรรดาเหล่าชาวบ้านประมาณมาก ต่างมาฝากรักใคร่เหมือนใจหมาย
พูดถึงที่ตีโบยขโมยควาย กล่าวขวัญนายเบียดเบียนแล้วเฆี่ยนตี
ถามราคาพร้าขวานจะวานซื้อ ล้วนอออือเอ็งกูกะหนูกะหนี
ที่คะขาคำหวานนานนานมี เป็นว่าขี้คร้านฟังแต่ซังตาย
เวลาเช้าก็ชวนกันออกป่า มันโม้หมาไล่เนื้อไปเหลือหลาย
พอเวลาสายัณห์ตะวันชาย ได้กระต่ายตะกวดกวางมาย่างแกง
ทั้งแย้บึ้งอึ่งอ่างเนื้อค่างคั่ว เขาทำครัวครั้นไปปะขยะแขยง
ต้องอดสิ้นกินแต่ข้าวกับเต้าแตง จนเรี่ยวแรงโรยไปมิใคร่มี
อยู่บุรินกินสำราญทั้งหวานเปรี้ยว ตั้งแต่เที่ยวยากไร้มาไพรศรี
แต่น้ำตาลมิได้พานในนาภี ปัถวีวาโยก็หย่อนลง
ด้วยเดือนเก้าข้าวสาเป็นหน้าฝน จึงขัดสนสิ่งของต้องประสงค์
ครั้นแล้วลาฝ่าเท้าท่านบิตุรงค์ ไปบ้านพงค้อตั้งริมฝั่งคลอง
ดูหนุ่มสาวชาวบ้านรำคาญจิต ไม่น่าคิดเข้าในกลอนอักษรสนอง
ล้วนวงศ์วานว่านเครือเป็นเชื้อชอง ไม่เห็นน้องนึกน่าน้ำตากระเด็น
แล้วไปชมกรมการบ้านดอนเด็จ ล้วนเลี้ยงเป็ดหมูเนื้อดูเหลือเข็ญ
ยกกระบัตรคัดช้อนทุกเช้าเย็น เมียที่เป็นท่านผู้หญิงนั่งปิ้งปลาฯ
๏ แล้วไปบางทางเถื่อนบ้านพงอ้อ ไม่เหลือหลอหลายตำแหน่งแสวงหา
จะเที่ยวดูคนผู้ทำยาตา ไม่เห็นหน้านึกระทดสลดใจ
ถึงคนผู้อยู่เกลื่อนก็เหมือนเปลี่ยว สันโดษเดี่ยวด้วยว่าจิตผิดวิสัย
มาอยู่ย่านบ้านกร่ำระกำใจ ชวนกันไปชมทะเลทุกเวลา
เห็นเงื้อมเขาเงาบังขึ้นนั่งเล่น ลมเย็นเย็นอยากดูหมู่มัจฉา
แลตลิ่งโล่งลิ่วทิวชลา ดูนาวาแล่นละเลาะริมเกาะเกียน
บ้างก้าวเสียดเฉียดทางไปข้างเขา บ้างออกเข้าข้ามฟากดังฉากเขียน
เรือตระเวนเจนแดนเที่ยวแล่นเวียน ดาษเดียรดูสล้างกลางชลา
ครั้นยามเย็นเห็นเหมือนหนึ่งเมฆพลุ่ง เป็นควันฟุ้งราวกับไฟไกลหนักหนา
แล้วถอยลงโพลงขึ้นไม่ขาดตา ถามผู้เฒ่าเขาว่าปลามันพ่นฟอง
เห็นจริงจังนั่งนึกพิลึกล้ำ จนพลบค่ำมืดมนขนสยอง
ยิ่งอาลัยใจมาอยู่ที่คู่ครอง แม้นแม่น้องได้มาเห็นเหมือนเช่นนี้
จะแอบอิงวิงวอนชะอ้อนถาม ตำแหน่งนามเกาะแก่งแขวงวิถี
ได้เชยชื่นรื่นรสสุมาลี แล้วจะชี้ให้แม่ชมยมนา
ไหนตัวพี่นี้จะชมทะเลหลวง จะชมดวงนัยน์เนตรของเชษฐา
โอ้อาลัยไกลแก้วกานดามา กลั้นน้ำตามิใคร่หยุดสุดระกำ
เสียดายนักภัคินีเจ้าพี่เอ๋ย ยังชื่นเชยชมชิมไม่อิ่มหนำ
มายากเย็นเห็นแต่ผ้าแพรดำ ได้ห่มกรำอยู่กับกายไม่วายตรอม
อยู่บ้านกร่ำทำบุญกับบิตุเรศ ถึงเดือนเศษโศกซูบจนรูปผอม
ทุกคืนค่ำกำสรดสู้อดออม ประณตน้อมพุทธคุณกรุณา
ทั้งถือศีลกินเพลเหมือนเช่นบวช เย็นเย็นสวดศักราชศาสนา
พยายามตามกิจด้วยบิดา เป็นฐานานุประเทศอธิบดี
จอมกษัตริย์มัสการขนานนาม เจ้าอารามอารัญธรรมรังษี
เจริญพรตยศยิ่งมิ่งโมลี กำหนดยี่สิบวสาสถาวร
ได้พบเห็นเป็นทำนุอุปถัมภ์ ก็กรวดน้ำนึกคะนึงถึงสมร
ให้ไพบูลย์พูนสวัสดิ์พิพัฒน์พร อย่ารู้ร้อนโรคภัยสิ่งไรพาน
ถึงชาตินี้มิได้สมอารมณ์คิด ด้วยองค์อิศรารักษ์จะหักหาญ
ขอให้น้องครองสัตย์ซึ่งปฏิญาณ ได้พบพานภายหน้าเหมือนอารมณ์
พอควรคู่รู้รักประจักษ์จิต ได้ชื่นชิดชมน้องประคองสม
ถึงต่างแดนแสนไกลไพรพนม ให้ลอยลมลงมาแอบแนบอุรา
อย่ารู้จักพลักผลิกทั้งหยิกข่วน แขนแต่ล้วนรอยเล็บเจ็บหนักหนา
ให้แย้มยิ้มพริ้มพร้อมน้อมวิญญาณ์ แล้วก็อย่าขี้หึงตะบึงตะบอน
ขอแบ่งบุญคุณศีลถวิลถึง ให้ทราบซึ่งโสตทรวงดวงสมร
ถึงอยู่ไกลในป่าพนาดร แต่ใจจรจงสวาทไม่คลาดคลา
ไปเที่ยวเล่นเห็นดอกไม้แล้วใจอยาก จะใคร่ฝากดวงเนตรของเชษฐา
ก็จนใจไกลทางต่างสุธา แต่น้ำตานี้แลฟูมละลุมลง
เวลาค่ำช้ำใจเข้าไสยาสน์ โอ้อนาถในวนาป่าระหง
ยินแต่เสียงลิงค่างที่กลางดง วิเวกวงวันเวศวังเวงใจ
จักจั่นหวั่นแว่วแจ้วแจ้วเสียง เหมือนสำเนียงวนิดาน้ำตาไหล
หนาวน้ำค้างพร่างพรมพนมไพร โอ้เจียนใจพี่จะขาดอนาถนึก
ได้แนบหมอนอ่อนอุ่นให้ฉุนชื่น ระรวยรื่นรสลำดวนเมื่อจวนดึก
ทั้งหอมแพรดำร่ำยิ่งรำลึก ทรวงสะทึกทุกทุกคืนสะอื้นใจฯ
๏ จนเดือนเก้าเช้าค่ำยิ่งพรำฝน ทุกตำบลบ้านกร่ำล้วนน้ำไหล
ยิ่งง่วงเหงาเศร้าช้ำระกำใจ จนล้มไข้คิดว่ากายจะวายชนม์
ให้เคลิ้มเคล้นเห็นปีศาจประหวาดหวั่น อินทรีย์สั่นเศียรพองสยองขน
ท่านบิดาหาผู้ที่รู้มนต์ มาหลายคนเขาก็ว่าต้องอารักษ์
หลงละเมอเพ้อพูดกับผีสาง ที่เคียงข้างคนผู้ไม่รู้จัก
แต่หมอเฒ่าเป่าปัดชะงัดนัก ทั้งเซ่นวักหลายวันค่อยบรรเทา
ให้คนทรงลงผีเมื่อพี่เจ็บ ว่าเพราะเก็บดอกไม้ที่ท้ายเขา
ไม่งอนง้อขอสู่ทำดูเบา ท่านปู่เจ้าคุมแค้นจึงแทนทด
ครั้นตาหมอขอโทษก็โปรดให้ ที่จริงใจพี่ก็รู้อยู่ว่าปด
แต่ชาวบ้านท่านถือข้างท้าวมด จึงสู้อดนิ่งไว้ในอุรา
ทุกเช้าเย็นเห็นแต่หลานที่บ้านกร่ำ ม่วงกับคำกลอยจิตขนิษฐา
เห็นเจ็บปวดนวดฟั้นช่วยฝนยา ตามประสาซื่อตรงเป็นวงศ์วาน
ครั้นหายเจ็บเก็บดอกไม้มาให้บ้าง กลับระคางเคืองข้องกันสองหลาน
จะว่ากล่าวน้าวโน้มประโลมลาน ไม่สมานสโมสรเหมือนก่อนมา
ก็จนจิตคิดเห็นว่าเป็นเคราะห์ จึงจำเพาะหึงหวงพวงบุปผา
ต้องคร่ำครวญรวนอยู่ดูเอกา ก็เลยลาบิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน
ออกจากย่านบ้านกร่ำซ้ำวิโยค กำสรดโศกเศร้าหมองถึงสองหลาน
เมื่อไข้หนักรักษาพยาบาล แต่นี้นานจะได้มาเห็นหน้ากัน
ครั้นจะมิหนีมาจะลาเล่า จะสร้อยเศร้าโศกาเพียงอาสัญ
จึงพากเพียรเขียนคำเป็นสำคัญ ให้สองขวัญเนตรนางไว้ต่างกาย
อย่าเศร้าสร้อยคอยพี่พอปีหน้า จึงจะมาทำขวัญเหมือนมั่นหมาย
ไม่ทิ้งขว้างห่างให้เจ้าได้อาย จงครองกายแก้วตาอย่าอาวรณ์
โอ้จากหลานบ้านกร่ำระกำจิต ก็เพราะคิดถึงแม่หญิงมิ่งสมร
สู้ฟูมฝนทนฟ้าอุตส่าห์จร เป็นทุกข์ร้อนแรมทางมากลางไพร
ถึงกรุงศรีอยุธยาขึ้นห้าค่ำ จึงเขียนคำจริงแจ้งแถลงไข
ให้ดวงเนตรเชษฐาด้วยอาลัย จงเห็นใจเถิดที่จิตคิดคำนึง
ถึงเจ็บไข้ไม่ตายไม่คลายรัก มีแต่ลักลอบนึกรำลึกถึง
ช่วยยิ้มแย้มแช่มชื่นอย่ามึนตึง ให้เหือดหึงลงเสียบ้างจงฟังคำ
พี่อุ้มทุกข์บุกป่ามหารณพ มาหมายพบพูดความกับงามขำ
อย่าบิดเบือนเชือนช้าทาระกำ แต่อยู่กร่ำตรอมกายมาหลายเดือน
ได้ดูงามตามทางที่นางอื่น ก็หลายหมื่นเหยียบแสนไม่แม้นเหมือน
ไม่มีสู้คู่ควรกระบวนเบือน เหมือนแม่เพื่อนชีพชายจนปลายแดน
พี่จากไปได้แต่รักมาฝากน้อง มากกว่าของอื่นอื่นสักหมื่นแสน
พอเป็นค่าผ้าห่มที่ชมแทน อย่าเคืองแค้นเลยที่ฉันไม่ทันลา
ด้วยเกิดความลามถึงเพราะหึงหวง คนทั้งปวงเขาคิดริษยา
จึงหลีกตัวกลัวบุญคุณบิดา ไปแรมป่าปิ้มชีวันจะบรรลัย
แม่อยู่ดีปรีดิ์เปรมเกษมสวัสดิ์ หรือเคืองขัดขุกเข็ญเป็นไฉน
หรือแสนสุขทุกเวลาประสาใจ สิ้นอาลัยลืมหมายว่าวายวาง
หรือพร้อมพรักพักตร์เพื่อนที่เยือนยิ้ม ให้เปรมปริ่มประดิพัทธ์ไม่ขัดขวาง
จะปราบปรามห้ามหวงพวงมะปราง ให้จืดจางจำจากกระดากใจ
นิราศเรื่องเมืองแกลงแต่งมาฝาก เหมือนขันหมากมิ่งมิตรพิสมัย
อย่าหมางหมองข้องขัดตัดอาลัย ให้ชื่นใจเหมือนแต่หลังมั่งเถิดเอยฯ
๏ ถึงบ้านนาตาขวัญสำคัญแน่ เห็นยายแก่แวะถามตามสงสัย
เขาชี้นิ้วแนะทิวหนทางไป ประจักษ์ใจจำแน่ดำเนินมา
ถึงบ้านแสงทางแห้งเห็นทุ่งกว้าง เฟื่อนหนทางทวนทบตลบหา
บุกละแวกแฝกแขมกับหญ้าคา จนแดดกล้ามาถึงย่านบ้านตะพง
มีเคหาอารามงามระรื่น ด้วยพ่างพื้นพุ่มไม้ไพรระหง
ตัดกระพ้อห่อได้ทุกไร่กง พี่หลีกลงทางทุ่งกระทอลอ
เห็นสาวสาวชาวไร่เขาไถที่ บ้างพาทีอือเออเสียงเหนอหนอ
แลขี้ไคลใส่ตาบเป็นคราบคอ ผ้าห่มห่อหมากแห้งตาแบงมาน
พี่สู้เมินเดินตรงเข้าดงสูง เสียงนกยูงเบญจวรรณขึ้นขันขาน
คิดถึงน้องหมองใจอาลัยลาน แม้นแจ้งการว่าพี่จากอยุธยา
จะเศร้าสร้อยคอยท่าเป็นทุกข์ร้อน ถึงยามนอนยามกินถวิลหา
พี่ก็แสนสุดยากลำบากมา ทั้งเดินป่าปิ้มกายจะวายวาง
ต้องเวียนวงหลงทบตลบเลี้ยว ด้วยรกเรี้ยวห้วยหนองเป็นคลองขวาง
ระหกระเหินเดินภาวนาพลาง พอพบทางลงถึงท้องทะเลวน
เสียงพิลึกครึกครึ้มกระหึ่มคลื่น ร่มระรื่นรุกขาพฤกษาสน
เหล่าต้นโปลงโกงกางกิ่งพิกล สล้างต้นเต็งตั้งสะพรั่งตา
ถึงปากช่องคลองกรุ่นเห็นคลองกว้าง มีโรงร้างเรียงรายชายพฤกษา
เป็นชุมรุมหน้าน้ำเขาทำปลา ไม่รอรารีบเดินดำเนินพลาง
ถึงศาลเจ้าอ่าวสมุทรที่สุดหาด เลียบลีลาศขึ้นตามช่องที่คลองขวาง
ถึงบ้านแกลงลัดบ้านไปย่านกลาง เห็นฝูงนางสานเสื่อนั้นเหลือใจ
แต่ปากพลอดมือสอดขยุกขยิก จนมือหงิกงอแงไม่แบได้
เป็นส่วยบ้านสานส่งเข้ากรุงไกร เด็กผู้ใหญ่ทำเป็นไม่เว้นคนฯ
๏ พอพลบค่ำสำนักที่เรือนเพื่อน ดูเหย้าเรือนชาวแขวงทุกแห่งหน
มุงด้วยไม้หวายโสมแสนพิกล ไม่มีคนแล้วก็ม้วนหลังคาวาง
ครั้นคนมาเอาหลังคาขึ้นคลุมคลี่ ดูก็ดีเร็วรัดไม่ขัดขวาง
เวลาค่ำล้ำเหลือด้วยเสือกวาง ปีบมาข้างเรือนเหย้าที่เรานอน
เขาดักจั่นชั้นในใส่สุนัข มันหอบฮักดิ้นโดยแล้วโหยหอน
ยิ่งดึกฟังวังเวงวนาดร สังเวชนอนมิใคร่หลับระงับลง
จนรุ่งแจ้งแสงสายไม่วายโศก บริโภคเสร็จสมอารมณ์ประสงค์
จากสถานบ้านแกลงไปกลางดง ต้นรังรงร่มชื่นระรื่นเย็น
เห็นรอกแตแย้ตุ่นออกวุ่นวิ่ง เอาดินทิ้งไล่ทุบตะครุบเล่น
ลูกมะม่วงร่วงกลาดดาษกระเด็น เสียดายเป็นกลางไพรมิได้การ
อยู่ใกล้วังดังนี้นางสาวสาว จะโน้มน้าวกิ่งเก็บเกษมศานต์
นึกดำเนินเดินกลางทางกันดาร ถึงตะพานยายเหมสร้างที่กลางไพร
เป็นทุ่งแถวแนวน้ำสกัดกั้น จึงพากันลุยเลียบทะเลไหล
แล้วขึ้นข้ามตามตะพานสำราญใจ ลงเลียบในตีนเขาลำเนาทาง
ดูครึ้มครึกพฤกษาป่าสงัด ทะลุลัดตัดทะเลแหลมทองหลาง
ต่างเพลิดเพลินเดินว่าเสภาพลาง ถูกขุนช้างเข้าหอหัวร่อเฮ
เห็นไร่แตงแกล้งแวะเข้าริมห้าง ทำถามทางชักชวนให้สรวลเส
พอเจ้าของแตงโมปะโลปะเล สมคะเนกินแตงพอแรงกัน
แล้วภิญโญโมทนาลาลีลาศ ลงเลียบหาดปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ถึงปากช่องคลองน้ำเป็นสำคัญ ตำแหน่งนั้นชื่อชะวากปากลาวน
ไม่หยุดยั้งตั้งหน้าเข้าป่ากว้าง ไปตามทางโขดเขินเนินถนน
สดับเสียงลิงค่างครางคำรน เหมือนคนกรนโครกครอกทำกลอกตาฯ
๏ พอรุ่งแสงสุริยาลีลาลาศ ลงเลียบหาดหวนคะนึงถึงสมร
เห็นกรวดทรายชายทะเลชโลทร ละเอียดอ่อนดังละอองสำลีดี
ดูกาบหอยรอบคลื่นกระเด็นสาด ก็เกลื่อนกลาดกลางทรายประพรายสี
เป็นหลายอย่างลางลูกก็เรียวรี โอ้เช่นนี้แม่มาด้วยจะดีใจ
จะเชยชมก้มเก็บไปกลางหาด เห็นประหลาดก็จะถามตามสงสัย
พี่ไม่รู้ก็จะชวนสำรวลไป ถึงเหนื่อยใจจะค่อยเบาบรรเทาคลาย
โอ้ยามนี้พี่เห็นแต่พักตร์เพื่อน ไม่ชื่นเหมือนสุดสวาทที่มาดหมาย
กลั้นน้ำตามาจนสุดที่หาดทราย เห็นเรือรายโรงเรียงเคียงเคียงกัน
อันชื่อนี้ศรีมหาราชาชาติ ขึ้นจากหาดเข้าป่าพนาสัณฑ์
ค่อยเลียบเดินเนินโขดสิงขรคัน เสียงจักจั่นแซ่เซ็งวังเวงใจ
สองข้างทางนางไม้ไพรสงัด ไม่แกว่งกวัดก้านกิ่งประวิงไหว
เย็นระรื่นชื่นชุ่มชอุ่มใบ หนาวฤทัยโทมนัสระมัดกาย
เสียงนกร้องก้องกู่กันกลางป่า ฟังภาษาสัตว์ไพรก็ใจหาย
จนออกดงลงเดินเนินสบาย ค่อยเคลื่อนคลายรอเรียงมาเคียงกัน
ถึงเขาขวางว่างเวิ้งชะวากวุ้ง เขาเรียกทุ่งสงขลาพนาสัณฑ์
เป็นป่ารอบขอบเขินเนินอรัญ นกเขาขันคู่เรียกกันเพรียกไพร
บ้างถาบถาพาคู่ลงฟุบฝุ่น เห็นคนผลุนโผผินบินไถล
บ้างก่งคอคูคูกุกกูไป ฝูงเขาไฟฟุบแฝงที่แฝกฟาง
โอ้ปักษีมีคู่ที่ชูชื่น สำราญรื่นปกปิดด้วยปีกหาง
พี่เปลี่ยวใจอายนกเพราะห่างนาง มาเดินกลางดงแดนแสนกันดาร
แล้วรีบรุดไปจนสุดที่ทิวทุ่ง ถึงบางละมุงพบน้ำลำละหาน
เป็นประเทศเขตนิคมกรมการ มีเรือนบ้านแออัดทั้งวัดวา
น้ำตาตกอกโอ้อนาถเหนื่อย ให้มึนเมื่อยขัดข้องทั้งสองขา
ลงหยุดหย่อนผ่อนนั่งที่ศาลา ต่างระอาอ่อนจิตระอิดแรง
ลงอาบน้ำลำห้วยพอเหนื่อยหาย แต่เส้นสายรุมรึงให้ขึงแข็ง
สลดใจเห็นจะไม่ถึงเมืองแกลง แต่นายแสงวอนว่าให้คลาไคล
พี่ดูดวงสุริย์ฉายก็บ่ายคล้อย ชวนพุ่มน้อยจากศาลาที่อาศัย
ออกพ้นย่านบ้านบางละมุงไป ค่อยคลายใจจรเลียบชลามาฯ
๏ ในกระแสแลล้วนแต่โป๊ะล้อม ลงอวนอ้อมโอบสกัดเอามัจฉา
โอ้คิดเห็นเอ็นดูหมู่แมงดา ตัวเมียพาผัวลอยเที่ยวเล็มไคล
เขาจับตัวผัวทิ้งไว้กลางน้ำ ระลอกซ้ำสาดซัดให้ตัดษัย
พอเมียตายฝ่ายผัวก็บรรลัย โอ้เหมือนใจที่พี่รักภัคินี
แม้น้องตายพี่จะวายชีวิตด้วย เป็นเพื่อนม้วยมิ่งแม่ไปเมืองผี
รำจวนจิตคิดมาในวารี จนถึงที่ศาลาบ้านนาเกลือ
หยุดประทับดับดวงพระสุริย์แสง ยิ่งโรยแรงร้อนรนนั้นล้นเหลือ
จะเคี้ยวข้าวตละคำเอาน้ำเจือ พอกลั้วเกลี้อกล้ำกลืนค่อยชื่นใจ
ทั้งล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิท จนอาทิตย์แย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล
อนสะอื้นตื่นตายังอาลัย รำจวนใจจรจากศาลามา
เข้าเดินดงพงชัฏสงัดเงียบ เย็นยะเยียบน้ำค้างพร่างพฤกษา
ออกชะวากปากทุ่งพัทยา นายแสงพาเลี้ยวหลงที่วงเวียน
บุกละแวกแฝกแขมแอร่มรก กับกอกกสูงสูงเสมอเศียร
ด้วยน้ำฝนล้นลงหนทางเกวียน ขึ้นโขดเตียนตอกรอกยอกระยำ
กลัวปลิงเกาะเลาะลัดตัดเขมร ลงลุยเลนพรวดพราดพลาดถลำ
ถึงแนวน่องย่องก้าวเอาเท้าคลำ แต่ท่องน้ำอยู่จนเที่ยงจึงพบทาง
พอยกเท้าก้าวเดินบนเนินแห้ง ทั้งขาแข้งเข่าข้อให้ขัดขวาง
เจ็บระบมคมหญ้าคาระคาง ค่อยย่องย่างเหยียบฝุ่นให้งุนโงง
เห็นพฤกษาไม้มะค่ามะขามข่อย ทั้งไทรย้อยยอดโยนโดนตะโขง
เหมือนไม้ดัดจัดวางข้างพระโรง เป็นพุ่มโพรงสาขาน่าเสียดาย
เดินพินิจเหมือนคิดสมบัติบ้า จะใคร่หาต้นไม้เข้าไปถวาย
นี่เหน็ดเหนื่อยเลื่อยล้าบรรดาตาย แสนเสียดายดูเดินจนเกินไป
ถึงท้องธารศาลเจ้าริมเขาขวาง พอได้ทางลงมหาชลาไหล
เข้าถามเจ๊กลูกจ้างตามทางไป เป็นจีนใหม่อ้อแอ้ไม่แน่นอน
ร้องไล้ขื่อมือชี้ไปที่เขา ก็ดื้อเดาเลียบเดินเนินสิงขร
ศิลาแลเป็นชะแง่ชะงักงอน บ้างพรุนพรอนแตกกาบเป็นคราบไคล
ต้องเลี่ยงเลียบเหยียบยอกเอาปลาบแปลบ ถึงที่แคบเป็นเขินเนินไศล
ค่อยตะกายป่ายปีนเปะปะไป จะขาดใจเสียด้วยเหนื่อยทั้งเมื่อยกาย
ถึงที่โขดต้องกระโดดขึ้นบนแง่ ก่นเอาแม่จีนใหม่นั้นใจหาย
บอกว่าใกล้ไกลมาบรรดาตาย ทั้งแค้นนายแสงนำไม่จำทาง
ทำซมเซอะเคอะคะมาปะเขา แต่โดยเมากัญชาจนตาขวาง
แกไขหูสู้นิ่งไปตามทาง ถึงพื้นล่างแลลาดล้วนหาดทราย
ต่างโหยหิวนิ่วหน้าสองขาแข็ง ในคอแห้งหอบรนกระหนกระหาย
กลืนกระเดือกเกลือกลิ้นกินน้ำลาย เจียนจะตายเสียด้วยร้อนอ่อนกำลัง
น้ำก็นองอยู่ในท้องชลาสินธุ์ จะกอบกินเค็มขมไม่สมหวัง
เหมือนไร้คู่อยู่ข้างกำแพงวัง จะเกี้ยวมั่งก็จะเฆี่ยนเอาเจียนตาย
ทั้งนี้เพราะเคราะห์กรรมกระทำไว้ นึกอะไรจึงไม่สมอารมณ์หมาย
แล้วปลอบน้องสองราปรีชาชาย มาถึงท้ายทิวป่านาจอมเทียน
เห็นบ่อน้ำร่ำดื่มเอาโดยอยาก พออ้าปากเหม็นหืนให้คลื่นเหียน
ค่อยมีแรงแข็งใจไปทางเกวียน ไม่แวะเวียนเดาเดินดำเนินไปฯ
๏ ถึงห้วยขวางตัดทางเข้าไต่ถาม พบขุนรามเรียกหาเข้าอาศัย
กินข้าวปลาอาหารสำราญใจ เขาแต่งให้หลับนอนผ่อนกำลัง
สงสารแสงแสนสุดเมื่อหยุดพัก เฝ้านั่งชักกัญชากับตาสัง
เสียงขาคะอยู่จนพระเคาะระฆัง ต่างร่ำสั่งฝากรักกันหนักครัน
แสนวิตกอกพี่เมื่ออ้างว้าง ถามถึงทางที่จะไปในไพรสัณฑ์
ชาวบ้านบอกมรคาว่ากว่าพัน สะกิดกันแกล้วกล้าเป็นน่ากลัว
ยิ่งหวาดจิตคิดคุณพระชินสีห์ กับชนนีบิตุเรศบังเกิดหัว
ข้าตั้งใจไปหาบิดาตัว ให้พ้นชั่วที่ชื่อว่าไภยันต์
อธิษฐานแล้วสะท้านสะท้อนอก สำเนียงนกเพรียกไพรทั้งไก่ขัน
เมฆแอร่มแย้มแยกแหวกตะวัน ก็ชวนกันอำลาเขาคลาไคล
เขม้นเมินเดินตรงเข้าดงดึก ดูซึ้งซึกมิได้เห็นพระสุริย์ใส
เสียงฟ้าร้องก้องลั่นสนั่นไพร ไม้ไหวไหวเหลียวหลังระวังคอย
สงัดเงียบเยียบเย็นยะเยือกอก น้ำค้างตกหยดเหยาะลงเผาะผอย
พฤกษาสูงยูงยางสล้างลอย ดูชดช้อยชื่นชุ่มชอุ่มใบ
ถึงปากช่องหนองชะแง้วเข้าแผ้วถาง แม้นค่ำค้างอรัญวาได้อาศัย
เป็นที่ลุ่มขุมขังคงคาลัย วังเวงใจรีบเดินไม่เมินเลย
หนทางรื่นพื้นทรายละเอียดอ่อน ในดงดอนดอกพะยอมหอมระเหย
หายละหวยด้วยพระพายมาชายเชย ชะแง้เงยแหงนทัศนามา
ถึงบางไผ่ไม่เป็นไผ่เป็นไพรชัฏ แสนสงัดเงียบในไพรพฤกษา
ต้องข้ามธารผ่านเดินเนินวนา อรัญวาอ้างว้างในกลางดง
ถึงพงค้อคอเขาเป็นโขดเขิน ต้องขึ้นเนินภูผาป่าระหง
ส่งกระทั่งหลังโคกเป็นโตรกตรง เมื่อจะลงก็ต้องวิ่งเหมือนลิงโลน
ไต่ข้ามห้วยเหวผาจนขาขัด ต้องกำดัดวิ่งเต้นดังเล่นโขน
ทั้งรากยางขวางโกงตะโขงโคน สะดุดโดนโดดข้ามไปตามทางฯ
๏ ถึงพุดรสาครเป็นพวยพุ น้ำทะลุออกจากชะวากขวาง
ดูซึ้งใสไหลเชี่ยวเป็นเกลียวกลาง สไบบางชุบซับกับอุรา
แล้วขึ้นเนินเดินในดงไม้หอม สะพรั่งพร้อมปรูปรายปฤษณา
ยามพระพายชายเชยรำเพยมา หอมบุปผารื่นรื่นชื่นอารมณ์
เหมือนกลิ่นปรางนางปนสุคนธ์รื่น คิดถึงคืนเคียงน้องประคองสม
ถอนสะอื้นยืนเด็ดลำดวนดม พี่นึกชมต่างนางไปกลางไพร
ถึงห้วยอีร้าแลระย้าล้วนสายหยุด ดอกนั้นสุดที่จะดกดูไสว
กะมองกะเมงนมแมวเป็นแถวไป ล้วนลูกไม้กลางป่าทั้งหว้าพลอง
สะท้อนหล่นใต้ต้นออกเกลื่อนกลิ้ง ฝูงค่างลิงกินเล่นเป็นเจ้าของ
ต่างเก็บเคี้ยวเปรี้ยวปรายเสียก่ายกอง แต่โดยลองเลือกชิมจนอิ่มไป
ถึงโตรกตรวยห้วยพระยูนจะหยุดร้อน เห็นแรดนอนอยู่ในดงให้สงสัย
เรียกกันดูด้วยไม่รู้ว่าสัตว์ใด เห็นหน้าใหญ่อย่างจระเข้ตะคุกตัว
มันเห็นหน้าทำตากระปริบนิ่ง เห็นหลายสิ่งคอคางทั้งหางหัว
รู้ว่าแรดกินหนามให้คร้ามกลัว ขยับตัววิ่งพัลวันไปฯ
๏ ครู่หนึ่งถึงชะวากชากลูกหญ้า ล้วนพฤกษายางยูงสูงไสว
แต่ล้วนทากตะเละลำรำพูไพร ไต่ใบไม้ยูงยางมากลางแปลง
กระโดดเผาะเกาะผับกระหยับคืบ ถีบกระทืบมิใคร่หลุดสุดแสยง
ปลดที่ตีนติดขาระอาแรง ทั้งขาแข้งเลือดโซมชะโลมไป
ออกเดินถี่หนีทากถึงชากขาม เป็นสนามน้ำท่าได้อาศัย
เห็นรอยคนแรมค้างอยู่กลางไพร ขึ้นต้นไม้หักรังไว้เรียงราย
เห็นลิงค่างบ่างชะนีวะหวีดโหวย กระหึมโหยห้อยไม้น่าใจหาย
เสียงผัวผัวตัวเมียเที่ยวโยนกาย เห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง
โอ้ชะนีเวทนาเที่ยวหาผัว เหมือนตัวพี่จากน้องให้หมองหมาง
ชะนีเพรียกเรียกชายอยู่ปลายยาง พี่เรียกนางนุชน้องอยู่ในใจ
เห็นป่าสูงฝูงนกในดงดึก หวนระลึกถึงสุดาน้ำตาไหล
จักจั่นร้องพร้องเพราะเสนาะไพร ทั้งเสียงไก่เถื่อนขันสนั่นเนิน
พฤกษาเบียดเสียดสีดังปี่แก้ว วิเวกแว่วหว่างลำเนาภูเขาเขิน
สดับฟังวังเวงเป็นเพลงเพลิน ต้องรีบเดินโดยด่วนด้วยจวนเย็น
ถึงห้วยโป่งเห็นธารละหานไหล คงคาใสปลาว่ายคล้ายคล้ายเห็น
มีกรวดแก้วแพรวพรายรายกระเด็น บ้างแลเห็นเป็นสีบุษราคัม
ขืนอารมณ์ชมเชยเลยลีลาศ พระพายพาดพัดเรื่อยมาเฉื่อยฉ่ำ
ทั้งสองข้างมรคาป่าระกำ สล้างลำแลสลับอยู่กับกอ
หอมบุปผาสาโรชมารื่นรื่น ต่างหยุดยืนใจหายเสียดายหนอ
แม้นอยู่เคียงเวียงชัยเห็นไม่พอ จะตัดต่อเรือแล่นเล่นตามกัน
ทลายลูกสุกแลดูแออัด เอาดาบตัดชิมไปในไพรสัณฑ์
มันแสนเปรี้ยวเบี้ยวหน้าเข้าหากัน ออกเข็ดฟันเป็นจะตายด้วยรายชิมฯ
๏ ถึงห้วยพร้าวเท้าเมื่อยออกเลื่อยล้า เห็นผิดฟ้าฝนย้อยลงหยิมหยิม
สุริย์ฉายบ่ายเยื้องเมืองประจิม อุระปิ้มศรปักสลักทรวง
ออกเดินรีบถีบถอนไปทุกย่าง กลัวจะค้างค่ำลงในดงหลวง
ด้วยครื้นครึกพฤกษาลดาพวง ไม่เห็นดวงสุริยาเวลาไร
พอเต็มตึงถึงสุนัขกะบากนั้น รอยเขาฟันพฤกษาอยู่อาศัย
เห็นรอยคนปนควายค่อยคลายใจ รู้ว่าใกล้ออกดงเดินตะบึง
แต่ย่างย้ายทรายฝุ่นขยุ่นยุบ ยิ่งเหยียบฟุบขาแข็งให้แข็งขึง
ยิ่งจวนเย็นเส้นสายให้ตายตึง ดูเหมือนหนึ่งเหยียบโคลนให้โอนเอน
ออกปากช่องท้องทุ่งที่ตลิ่ง ต่างเกลือกกลิ้งลงทั้งรกถกเขมร
ด้วยล้าเลื่อยเหนื่อยอ่อนนอนระเนน จนสุริเยนทร์ลับไม้ชายทะเล
ผลัดกันทำย่ำเหยียบแล้วยืนหยัด กระดูกดัดผัวะเผาะให้โผเผ
ค่อยย่างเท้าก้าวเขยกดูเกกเก ออกโซเซเดินข้ามตามตะพาน
เป็นทุ่งแถวมีแนวแม่น้ำอ้อม ระยะหย่อมเคหาน่าสนาน
เป็นเนินสวนล้วนเหล่ามะพร้าวตาล เข้าลับบ้านทับม้าลีลาไป
พอสิ้นดงตรงบากออกปากช่อง ถึงระยองเหย้าเรือนดูไสว
แวะเข้าย่านบ้านเก่าค่อยเบาใจ เขาจุดไต้ต้อนรับให้หลับนอน
ฝ่ายนายแสงถึงตำแหน่งสำนักน้อง เขายิ้มย่องชมหลานคลานสลอน
พี่ว้าเหว่เอกาอนาทร ด้วยจะจรต่อไปเป็นหลายคืน
ครั้นรุ่งเช้าเท้าบวมทั้งสองข้าง จะย่องย่างสุดแรงจะแข็งขืน
อยู่ระยองสองวันสู้กลั้นกลืน ค่อยแช่มชื่นชวนกันว่าจะคลาไคล
นายแสงหนีลี้หลบไม่พบเห็น โอ้แสนเข็ญคิดน่าน้ำตาไหล
น้อยหรือเพื่อนเหมือนจะร่วมชีวาลัย มาสูญใจจำจากเมื่อยากเย็น
จึงกรวดน้ำร่ำว่าต่ออาวาส อันชายชาตินี้หนอไม่ขอเห็น
มาลวงกันปลิ้นปลอกหลอกทั้งเป็น จะชี้เช่นชั่วช้าให้สาใจ
เดชะสัตย์อธิษฐานประจานแจ้ง ให้เรียกแสงเทวทัตจนตัดษัย
เหมือนชื่อตั้งหลังพิหารเขียนถ่านไฟ ด้วยน้ำใจเหมือนมินหม้อทรชน
แล้วชวนสองน้องรักร่วมชีวิต ให้เปลี่ยวจิตไม่แจ้งรู้แห่งหน
จากระยองย่องตามกันสามคน เลียบถนนคันนาป่ารำไรฯ
๏ ถึงทับนางวางเวงฤทัยวับ เห็นแต่ทับชาวนาอยู่อาศัย
นางชาวนาก็ไม่น่าจะชื่นใจ คราบขี้ไคลคร่ำคร่าดังทาคราม
อันนางในนคราถึงทาสี ดีกว่านางทั้งนี้สักสองสาม
โอ้พลัดพรากจากบุรินแล้วสิ้นงาม ยิ่งคิดความขวัญหายเสียดายกรุง
ถึงบางพลีมีเรือนอารามพระ ดูระกะดาษทางไปกลางทุ่ง
เป็นเลนลุ่มลึกเหลวเพียงเอวพุง ต้องลากจุงจ้างควายอยู่รายเรียง
ดูเรือแพแออัดอยู่ยัดเยียด เข้าเบียดเสียดแทรกกันสนั่นเสียง
แจวตะกูดเกะกะปะกระเชียง บ้างทุ่มเถียงโดนดุนกันวุ่นวาย
โอ้เรือเราคราวเข้าไปติดแห้ง เห็นนายแสงผู้เป็นใหญ่ก็ใจหาย
นั่งพยุงตุ้งก่านัยน์ตาลาย เห็นวุ่นวายสับสนก็ลนลาน
น้อยกับพุ่มหนุ่มตะกอถ่อกระหนาบ เสียงสวบสาบแทรกไปด้วยใจหาญ
นายแสงร้องรั้งไว้ไม่ได้การ เอาถ่อกรานโดยกลัวจนตัวโกง
สงสารแสงแข็งข้อไม่ท้อถอย พุ่มกับน้อยแทรกกลางเสียงผางโผง
ถ้วยชามกลิ้งฉิ่งฉ่างเสียงกร่างโกรง นาวาโคลงโคลนเลอะตลอดแคมฯ
๏ จนตกลึกล่วงทางถึงบางโฉลง เป็นทุ่งโล่งลานตาล้วนป่าแขม
เหงือกปลาหมอกอกกกับกุ่มแกม คงคาแจ่มเค็มจัดดังกัดเกลือ
ถึงหัวป่าเห็นป่าพฤกษาโกร๋น ดูเกรียนโกรนกรองกรอยเป็นฝอยเฝือ
ที่กิ่งก้านกรานกีดประทุนเรือ ลำบากเหลือที่จะร่ำในลำคลอง
ถึงหย่อมย่านบ้านไร่อาลัยเหลียว สันโดษเดียวมิได้พบเพื่อนสนอง
เขารีบแจวมาในนทีทอง อันบ้านช่องมิได้แจ้งแห่งตำบล
ถึงคลองขวางบางกระเทียมสะท้านอก โอ้มาตกอ้างว้างอยู่กลางหน
เห็นแต่หมอนอ่อนแอบอุระตน เพราะความจนเจียวจึงจำระกำใจ
จะเหลียวซ้ายแลขวาก็ป่าแสม ตะลึงแลปูเปี้ยวเที่ยวไสว
ระหริ่งเรื่อยเฉื่อยเสียงเรไรไพร ฤทัยไหวแว่วว่าพะงางาม
ถึงชะแวกแยกคลองสองชะวาก ข้างฝั่งฟากหัวตะเข้มีมะขาม
เข้าสร้างศาลเทพาพยายาม กระดานสามแผ่นพิงไว้บูชา
ตะลึงแลแต่ล้วนลูกจระเข้ โดยคะเนมากมายทั้งซ้ายขวา
สักสองร้อยลอยไล่กินลูกปลา เห็นแต่ตากับจมูกเหมือนตุ๊กแก
โอ้คลองขวางทางแดนแสนโสทก ดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม
เลียบตลิ่งวิ่งตามชาวเรือแพ ทำลอบแลหลอนหลอกตะคอกคน
คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่ง เขาว่าลิงจองหองมันพองขน
ทำหลุกหลิกเหลือกลานพาลลุกลน เขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพองฯ
๏ ถึงชะวากปากคลองเป็นสองแพร่ง น้ำก็แห้งสุริยนก็หม่นหมอง
ข้างซ้ายมือนั้นแลคือปากตะครอง ข้างขวาคลองบางเหี้ยทะเลวน
ประทับทอดนาวาอยู่ท่าน้ำ ดูเรียงลำเรือรายริมไพรสณฑ์
เขาหุงหาอาหารให้ตามจน โอ้ยามยลโภชนาน้ำตาคลอ
จะกลืนข้าวคราวโศกในทรวงเสียว เหมือนขืนเคี้ยวกรวดแกลบให้แสบศอ
ต้องเจือน้ำกล้ำกลืนพอกลั้วคอ กินแต่พอดับลมด้วยตรมใจ
พอฟ้าคล้ำค่ำพลบลงหรบรู่ ยุงออกฉู่ชิงพลบตบไม่ไหว
ได้รับรองป้องกันเพียงควันไฟ แต่หายใจมิใคร่ออกด้วยอบอาย
โอ้ยามยากจากเมืองแล้วลืมมุ้ง มากรำยุงเวทนาประดาหาย
จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา
พอน้ำตึงถึงเรือก็รีบล่อง เข้าในคลองคึกคักกันนักหนา
ด้วยมืดมัวกลัวตอต้องรอรา นาวามาเรียงตามกันหลามทาง
ถึงบางบ่อพอจันทร์กระจ่างแจ้ง ทุกประเทศเขตแขวงนั้นกว้างขวาง
ดูดาวดาษกลาดฟ้านภาภางค์ วิเวกทางท้องทุ่งสะท้านใจ
ดูริ้วริ้วลมปลิวที่ปลายแฝก ทุกละแวกหวาดหวั่นอยู่ไหวไหว
รำลึกถึงขนิษฐายิ่งอาลัย เช่นนี้ได้เจ้ามาด้วยจะดิ้นโดย
เห็นทิวทุ่งวุ้งเวิ้งให้หวั่นหวาด กัมปนาทเสียงนกวิหคโหย
ไหนจะต้องละอองน้ำค้างโปรย เมื่อลมโชยชื่นนวลจะชวนเชย
โอ้นึกนึกแล้วก็น่าน้ำตาตก ด้วยแนบอกมิได้แนบแอบเขนย
ได้หมอนข้างต่างน้องประคองเกย เมื่อไรเลยจะได้คืนมาชื่นใจฯ
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านระกาดต้องลงถ่อ ค่อยลอยรอเรียงลำตามน้ำไหล
จนล่วงเข้าหัวป่าพนาลัย ล้วนเงาไม้มืดคล้ำในลำคลอง
ระวังตัวกลัวตอตะเคียนขวาง เป็นเยี่ยงอย่างผู้เฒ่าเล่าสนอง
ว่าผีสางสิงนางตะเคียนคะนอง ใครถูกต้องแตกตายลงหลายลำ
พอบอกกันยังมิทันจะขาดปาก เห็นเรือจากแจวตรงหลงถลำ
กระทบผางตอนางตะเคียนดำ ก็โคลงคว่ำล่มลงในคงคา
พวกเรือพี่สี่คนขนสยอง ก็เลยล่องหลีกทางไปข้างขวา
พ้นระวางนางรุกขฉายา ต่างระอาเห็นฤทธิ์ประสิทธิ์จริง
ขอนางไม้ไพรพฤกษ์เทพารักษ์ ขอฝากภัคนีน้อยแม่น้องหญิง
ใครสามารถชาติชายจะหมายชิง ให้ตายกลิ้งลงเหมือนตอที่ตำเรือ
จนล่วงล่องมาถึงคลองที่คับแคบ ไม่อาจแอบชิดฝั่งระวังเสือ
ด้วยครึ้มครึกพฤกษาลัดดาเครือ ค่อยรอเรือเรียงล่องมานองเนือง
ลำพูรายพรายพร้อยหิ่งห้อยจับ สว่างวับแวววามอร่ามเหลือง
เสมอเม็ดเพชรรัตน์จำรัสเรือง ค่อยประเทืองทุกข์ทัศนาชม
ถึงบางสมัครเหมือนพี่รักสมัครมาด มาแคล้วคลาดมิได้อยู่กับคู่สม
ถึงยามนอนนอนเดียวเปลี่ยวอารมณ์ จะแลชมอื่นอื่นไม่ชื่นใจ
แสนกันดารบ้านเมืองไม่แลเห็น ยะเยือกเย็นหย่อมหญ้าพฤกษาไสว
โอ้คลองเปลี่ยวพี่ก็เปล่าเศร้าฤทัย จะถึงไหนก็ไม่แจ้งแห่งสำคัญ
ประจวบจนถึงตำบลบ้านมะพร้าว พอฟ้าขาวขอบไพรเสียงไก่ขัน
เป็นที่กุมภาพาลชาญฉกรรจ์ ให้หวาดหวั่นรีบมาในสาชล
ถึงบางวัวเห็นแต่ศาลตระหง่านง้ำ ละอองน้ำค้างย้อยเป็นฝอยฝน
ดาวเดือนดับลับเมฆเป็นหมอกมน สุริยนเยี่ยมฟ้าพนาลัย
พอเรือออกนอกชะวากปากตะครอง ค่อยลอยล่องตามลำแม่น้ำไหล
ดูกว้างขวางว้างเวิ้งวิเวกใจ เป็นพงไพรฝูงนกวิหคบินฯ
๏ ถึงหย่อมย่านบ้านบางมังกงนั้น ดูเรียงรันเรือนเรียบชลาสินธุ์
แต่ล้วนบ้านตากปลาริมวาริน เหม็นแต่กลิ่นเน่าอบตลบไป
เห็นศาลเจ้าเหล่าเจ๊กอยู่เซ็งแซ่ ปูนทะก๋งองค์แก่ข้างเพศไสย
เกเลเอ๋ยเคยข้ามคงคาลัย ช่วยคุ้มภัยปากอ่าวเถิดเจ้านาย
พอพ้นบ้านลานแลดูปากช่อง เห็นทิวท้องสมุทรไทน่าใจหาย
แลทะเลเลี่ยนลาดล้วนหาดทราย ทั้งสามนายจัดแจงโจงกระเบน
ไปตามช่องล่องออกไปนอกรั้ว เห็นเมฆมัวลมแดงดังแสงเสน
สักประเดี๋ยวเหลียวดูลำพูเอน ยอดระเนนนาบน้ำอยู่รำไร
ป่าแสมแลเห็นอยู่ริ้วริ้ว ให้หวิวหวิววาบวับฤทัยไหว
จะหลบหลีกเข้าฝั่งก็ยังไกล คลื่นก็ใหญ่โยนเรือเหลือกำลัง
สงสารแสงแข็งข้อจนขาสั่น เห็นเรือหันโกรธบ่นเอาคนหลัง
น้ำจะพัดปัดตีไปสีชัง แล้วคุ้มคลั่งเงี่ยนยาทำตาแดง
ปลอบเจ้าพุ่มพึมพำว่ากรรมแล้ว อุตส่าห์แจวเข้าเถิดพ่อให้ข้อแข็ง
สงสารน้อยหน้าจ๋อยนั่งจัดแจง คิดจะแต่งตัวตายไม่พายเรือ
พี่แข็งขืนฝืนภาวนานิ่ง แลตลิ่งไรไรยังไกลเหลือ
เห็นเกินรอยบางปลาสร้อยอยู่ท้ายเรือ คลื่นก็เฝือฟูมฟองคะนองพราย
เห็นจวนจนบนเจ้าเขาสำมุก จงช่วยทุกข์ถึงที่จะทำถวาย
พอขาดคำน้ำขึ้นทั้งคลื่นคลาย ทั้งสามนายหน้าชื่นค่อยเฉื่อยมา
หยุดตะพานย่านกลางบางปลาสร้อย พุ่มกับน้อยสรวลสันต์ต่างหรรษา
นายแสงหายคลายโทโสที่โกรธา ชักกัญชานั่งกริ่มยิ้มละไม
แล้วหุงหาอาหารสำราญรื่น จนเที่ยงคืนขึ้นศาลาได้อาศัย
ฟังเสียงคลื่นครื้นครั่นสนั่นไป ดูมือในเมฆานภาภางค์
พี่เล็งแลดูกระแสสายสมุทร ละลิ่วสุดสายตาเห็นฟ้าขวาง
เป็นฟองฟุ้งรุ่งเรืองอยู่รางราง กระเด็นพร่างพรายพราวราวกับพลอย
เห็นคล้ายคล้ายปลาว่ายเฉวียนฉวัด ระลอกซัดสาดกระเซ็นขึ้นเต้นหยอย
ฝูงปลาใหญ่ไล่โลดกระโดดลอย น้ำก็พลอยพร่างพร่างกลางคงคาฯ
๏ แลทะเลแล้วก็ให้อาลัยนุช ไม่สร่างสุดโศกสิ้นถวิลหา
จนอุทัยไตรตรัสจำรัสตา เห็นเคหาเรียงรายริมชายทะเล
ดูเรือแพแต่ละลำล้วนโปะโหละ พวกเจ๊กจีนกินโต๊ะเสียงโหลเหล
บ้างลุยเลนล้วงปูดูโซเซ สมคะเนใส่ข้องเที่ยวมองคอย
อันนารีที่ยังสาวพวกชาวบ้าน ถีบกระดานถือตะกร้าเที่ยวหาหอย
ดูแคล่วคล่องล่องแล่นแฉลบลอย เอาขาห้อยทำเป็นหางไปกลางเลน
อันพวกเขาชาวประโมงไม่โหย่งหยิบ ล้วนตีนถีบปากกัดขัดเขมร
จะได้กินข้าวเช้าก็ราวเพล ดูจัดเจนโลดโผนในโคลนตม
จึงมั่งคั่งตั้งบ้านในการบาป แต่ต้องสาปเคหาให้สาสม
จะปลูกเรือนก็มิได้ใส่ปั้นลม ใครขืนทำก็ระทมด้วยเพลิงลาม
โอ้ดูเรือนเหมือนอกเราไร้คู่ ผู้ใดดูจึงไม่ออกเอี่ยมสนาม
หรือต้องสาปบาปหลังยังติดตาม ผู้หญิงงามจึงไม่มีปรานีเลย
จะรักใครเขาก็ไม่เมตตาตอบ สมประกอบได้แต่สอดกอดเขนย
เอ็นดูเขาเฝ้านึกนิยมเชย โอ้ใจเอ๋ยจะเป็นกรรมนั้นร่ำไป
พลางรำพึงถึงทางที่กลางเถื่อน จึงคล้อยเคลื่อนนาวาเข้าอาศัย
มีมิตรชายท้ายย่านเป็นบ้านไทย สำนักในคูหาขุนจ่าเมืองฯ
๏ ใครพบพักตร์เขาก็ทักว่าทรงซูบ จะดูรูปตัวเองก็ผอมเหลือง
ซังตายชื่นฝืนฤทัยให้ประเทือง เที่ยวชำเลืองแลชมตลาดเรียง
เป็นสองแถวแนวถนนคนสะพรั่ง บ้างยืนบ้างนั่งร้านประสานเสียง
ดูรูปร่างนางบรรดาแม่ค้าเคียง เห็นเกลี้ยงเกลี้ยงกล้องแกล้งเป็นอย่างกลาง
ขายหอยแครงแมงภู่กับปูม้า หมึกแมงดาหอยดองรองกระถาง
พวกเจ๊กจีนสินค้าเอามาวาง มะเขือคางแพะเผือกผักกาดดอง
ที่ชายผ้าหน้าถังก็เปิดโถง ล้วนเบี้ยโป่งหญิงชายมาจ่ายของ
สักยี่สิบหยิบออกเป็นกอบกอง พี่เที่ยวท่องทัศนาจนสายัณห์
ดูก็งามตามประสาพนาเวศ ไม่นวลเนตรเหมือนหนึ่งในไอศวรรย์
แต่แรมค้างบางปลาสร้อยได้สามวัน ก็ชวนกันเลยลาขุนจ่าเมือง
พอฟ้าขาวดาวเดือนลงเลื่อนลด อร่ามรถสุริยาเวหาเหลือง
จากเคหาชลนาพี่นองเนือง ขืนประเทืองปล้ำทุกข์มาตามทาง
พอพ้นบ้านลานแลล้วนทุ่งเลี่ยน หนทางเตียนตัดเข้าภูเขาขวาง
ดูกรวดทรายพรายงามเหมือนเงินราง หยาดน้ำค้างข้อหลุมที่ขุมควาย
ดูสีขาวราวกับน้ำตาลโตนด ที่หว่างโขดขอบผาศิลาฉลาย
ริมทางเถื่อนเรือนเหย้ามีรายราย เห็นฝูงควายปล่อยเกลื่อนอยู่กลางแปลง
ถึงหมองมนมีตำบลชื่อบ้านไร่ เขาถากไม้ทุกประเทศทุกเขตแขวง
ต้องเดินเฉียงเลี่ยงลัดตัดทแยง ตามนายแสงนำทางไปกลางไพร
กำดัดแดดแผดร้อนทุกขุมขน ไม่มีต้นพฤกษาจะอาศัย
ล้วนละแวกแฝกคาป่ารำไร จนสุดไร่เลียบริมทะเลมา
ตะวันคล้อยหน่อยหนึ่งถึงบางพระ ดูระยะบ้านนั้นก็แน่นหนา
พอพบเรือนเพื่อนชายชื่อนายมา เขาโอภาต้อนรับให้หลับนอนฯ