ลักษณะทางธรรมชาติ
* เป็นพืชเขตร้อนและกึ่งร้อน ปลูกได้ดีในทุกภาค ทุกพื้นที่ และทุกฤดูกาล ชอบดินดำร่วนหรือดินปนทรายร่วนมีอินทรีย์วัตถุมากๆ ระบายน้ำดี เนื้อดินไม่ลึกนัก ระบบรากหากินที่บริเวณผิวดินจึงไม่ค่อยทนต่อสภาพน้ำขังค้างนาน ต้องการความชื้นสูงทั้งในดินและความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ ช่วงพักต้นต้องการน้ำน้อยแต่ช่วงออกดอกติดผลต้องการน้ำสม่ำเสมอ
* ปลูกง่ายโตเร็ว ให้ผลผลิตได้ตั้งแต่อายุ 4 เดือนหลังปลูก (กิ่งตอน/ทาบ/ติดตา ) บางสายพันธุ์ให้ผลตลอดปี (ไม่มีรุ่นหรือทยอยออกตลอดปี) แบบไม่มีฤดูกาล บางสายพันธุ์ให้ปีละ 2 รุ่น
* เป็นพืชไม้ผลอายุยืนกว่า 50 ปี ส่วนมากต้นที่ตายมักตายก่อนอายุขัยเนื่องจากสภาพแปลงปลูกไม่ น้ำในดินโคนต้นมากทำให้รากแช่น้ำตลอดเวลา ต้นโทรมเนื่องจากได้รับธาตุอาหาร (ธาตุหลัก-รอง-เสริม-ฮอร์โมน) ไม่สมดุล ในขณะที่ต้นถูกเร่งเร้าในการออกดอกติดผลตลอดปีและอีกหลายปัจจัยที่บั่นทอนให้ต้นอ่อนแอ
* การใช้ต้นตอพันธุ์พื้นเมืองหรือเพชรทูลเกล้าแล้วเปลี่ยนยอดเป็นพันธุ์ดีตามต้องการพร้อมกับมีการเสริมรากจะช่วยให้ต้นมีรากมากขึ้น ส่งผลให้ต้นได้รับสารอาหารมากกว่าการมีเพียงรากเดียว เมื่อต้นได้รับสารอาหารมากขึ้นสภาพต้นย่อมแข็งแรง สมบูรณ์ ผลดกคุณภาพดี และอายุต้นยืนนานยิ่งขึ้นอีกด้วย
* มีดอกสมบูรณ์เพศ (เกสรตัวผู้-ตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน) ออกดอกที่ซอกใบใต้ท้องกิ่งแก่ ลำต้น หรือแม้แต่ที่โคนต้น และรากที่พ้นพื้นดินก็ออกดอกติดผลได้หากต้นมีความสมบูรณ์สูง
* ไม่ออกดอกติดผลจากปลายกิ่งหรือกิ่งเกิดใหม่ในปีนั้น แต่จะออกดอกติดผลจากกิ่งแก่อายุไม่น้อยกว่า 6 เดือนหรือมากกว่า การตัดปลายกิ่งทิ้งเหลือเฉพาะส่วนโคนซึ่งเหมาะสำหรับออกดอกติดนอกจากเป็นการควบคุมขนาดทรงพุ่มให้กว้างเกินไปได้แล้วยังเป็นการเสริมให้ออกดอกติดผล การลำเลียงน้ำเลี้ยง ไปยังกิ่งนั้นดีอีกด้วย
* ลักษณะต้นที่จะให้ผลผลิตดีและดกนั้น ช่วง เรียกใบอ่อน-เปิดตาดอก ควรมีใบประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ช่วงติดผลแล้วควรมีใบประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และตลอดทุกช่วงที่มีดอกผลภายในทรงพุ่มไม่ควรมีใบใหม่ หรือยอดอ่อนเกิดขึ้นเลย โดยเด็ดทิ้งตั้งแต่ออกมาเป็นยอดผักหวาน
* การเปิดภายในทรงพุ่มให้โปร่งด้วยการตัดยอดประธาน (ผ่ากะบาล) จนแสงแดดช่วงเที่ยงวันส่องผ่านลำต้นและกิ่งภายในทรงพุ่มได้อย่างทั่วถึง จะทำให้เปลือกลำต้นและเปลือกกิ่งสะอาดไม่มีเชื้อราจับ ส่งผลให้ตาดอกซึ่งอยู่ใต้เปลือกสมบูรณ์พร้อมที่จะออกมาได้ทุกเวลาเมื่อถูกกระตุ้น หรือเปิดตาดอก
* ทรงพุ่มโปร่งแสงแดดส่องทั่วภายใน นอกจากช่วยป้องกันเชื้อราแพร่ระบาดได้แล้วยังทำให้แม่ผีเสื้อไม่เข้าวางไข่อีกด้วยเพราะความร้อนภายในทรงพุ่มทำให้ไข่แม่ผีเสื้อฝ่อไม่อาจฟักออกมาเป็นตัวหนอนได้
* เป็นไม้ผลประเภทตอบสนองต่อ ปุ๋ยและฮอร์โมน เร็วมากไม่ว่าจะให้ทางรากหรือทางใบ ช่วงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวหากให้ 13-13-21 (ทางราก) ควบคู่กับให้ 0-0-50 หรือ 0-21-74 (ทางใบ) จะทำให้รสหวานจัดราวกับแช่ในขันทศกร เมื่อรับประทานถึงกับแสบคอเลยทีเดียว
* ระหว่างต้นกำลังออกดอก-ติดผล ตัดแต่งกิ่งได้จะไม่กระทบกระเทือนต่อดอกหรือผลบนต้นเหมือนไม้ผลอื่นๆ แนะนำให้เด็ดยอดแตกใหม่ตั้งแต่ยังเป็นยอดเล็กๆ (ยอดผักหวาน ) โดยการใช้ปลายนิ้วสะกิดเบาๆยอดอ่อนก็จะหลุดออก วิธีนี้จะไม่ทำให้เกิดเป็นแผลขนาดใหญ่ให้เชื้อโรคเข้าได้
* สารกำจัดวัชพืชหรือยาฆ่าหญ้าเป็นอันตรายต่อชมพู่อย่างมาก ละอองสารกำจัดวัชพืชที่ปลิวลอยไปกระทบส่วนใบจะทำให้ใบกร้านหรือไหม้แล้วแห้งไปในที่สุด ส่วนสารกำจัดวัชพืชที่ซึมแทรกในเนื้อวัชพืชนั้นเมื่อวัชพืชถูกย่อยสลาย สารกำจัดวัชพืชก็จะเข้าไปปนเปื้อนอยู่ในเนื้อดิน สร้างความเสียหายแก่ระบบรากได้เช่นกัน จึงไม่ควรกำจัดวัชพืชด้วยสารเคมีแต่ใช้วิธีถอนหรือตัดและไม่แนะนำให้ใช้วิธีถากหรือขุดเพราะจะกระทบกระเทือนปลายราก (ชมพู่มีรากตื้น) พร้อมกันนั้นควรมีเศษซากพืชคลุมพื้นดินทั่วบริเวณทรงพุ่มและรอบนอกห่างออกไป 1-2 ม. เพื่อสร้างความชุ่มชื้นหน้าดินและให้เป็นแหล่งอาศัยของจุลินทรีย์
* ดอกชมพู่เป็นดอกสมบูรณ์เพศ (กระเทย) ที่มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ผสมกันเองหรือผสมกับต่างดอกได้
* เกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างไม่สมบูรณ์เกิดจากขาดสารอาหาร/ฮอร์โมนหรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม (อากาศร้อนหรือฝนตกชุก) แล้วผสมกันแล้วพัฒนาเป็นผลจะเป็นผลไม่สมบูรณ์ ไม่โต รูปทรงบิดเบี้ยว
* ช่วงเริ่มแทงช่อดอกออกมาให้บำรุงด้วยฮอร์โมนจิบเบอเรลลิน. เพื่อเตรียมขยายขนาดผลให้มีขนาดใหญ่ยาวและสมส่วน โดยฉีดพ่น 3 รอบ
รอบแรก ช่วงตาดอกเริ่มโผล่ออกให้เห็น
รอบสอง ช่วงหลังดอกบาน
รอบสาม ช่วงติดผลขนาดเล็ก ( หมวกเจ๊ก ) ฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้นและเน้นที่ดอก/ผลโดยตรง......
การผสมอัตราส่วน จิบเบอเรลลิน สำคัญมาก เพราะแต่ละยี่ห้อกำหนดความเข้มข้นในการใช้ไม่เท่ากัน ดังนั้นต้องอ่านรายละเอียดแล้วใช้ให้ตรงตามเกณฑ์กำหนดของแต่ละยี่ห้อจริงๆ การใช้ในอัตราน้อยเกินไปจะทำให้ไม่ได้ผล การใช้ในอัตราเข้มข้นเกินทำให้รูปทรงผลบิดเบี้ยวและไม่โต
* ช่วงดอกตูมนี้หากพื้นดินโคนต้นถ้าได้เปิดไว้หรือได้นำเศษพืชคลุมหน้าดินออก (ช่วงงดน้ำ) ก็ให้นำกลับเข้าคลุมโคนต้นอย่างเดิม พร้อมกับให้น้ำโดยเริ่มจากให้น้อยๆ พอหน้าดินชื้นก่อนแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณมากขึ้นเมื่อผลมีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ
* ธรรมชาติของชมพู่เมื่อดอกรุ่นแรกออกมาแล้วมักจะมีดอกรุ่นที่สอง-สาม-สี่-ออกตามมาเรื่อยๆ จนมีดอกหลายรุ่นแล้วกลายเป็นผลหลายรุ่นหลายขนาดในต้นเดียวกัน ทำให้ค่อนข้างยุ่งยากต่อการปฏิบัติบำรุงโดยเฉพาะการให้ฮอร์โมนสำหรับผลต่างระยะหรือต่างอายุกัน...........แนวทางแก้ไข คือ
1. จำนวนดอกทั้งหมดที่ออกไล่เลี่ยกันมาตลอดทั้งปีนั้น ตั้งเป้าเอาไว้เพียง 3 รุ่น/ปี เป็นอย่างมาก
2. สำรวจจำนวนดอกที่ออกมาแต่ละรุ่นในรอบ 7 วันว่าปริมาณดอกระหว่าง 2 วันแรกกับ2 วันท้ายของ 7 วันนั้นช่วงไหนน้อยกว่ากัน ถ้าช่วง 2 วันแรกน้อยกว่าช่วง 2 วันท้ายให้เด็ดดอกชุด 2 วันแรกทิ้ง หรือถ้าช่วง 2 วันท้ายน้อยกว่า 2 วันแรกก็ให้เด็ดชุด 2 วันท้ายทิ้ง ให้เหลือดอกที่ออกติดต่อกัน 5 วันใน 1 รุ่นก็จะได้ผลที่มีขนาดและอายุใกล้เคียงกันหรือเรียกว่าพร้อมกันก็ได้ หลังจากได้ดอกรุ่นที่ต้องการให้เป็นผลรุ่นเดียวกันเรียบร้อยแล้วให้เด็ดดอกที่ออกต่อมาตลอดระยะเวลา 3 เดือนทิ้งทั้งหมด
ระหว่าง 3 เดือนที่เด็ดดอกทิ้งนี้ดอกรุ่นแรกจะพัฒนาเป็นผลโตขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อครบกำหนด 3 เดือนแล้วก็ให้เตรียมการเก็บดอกรอบใหม่อีกด้วยวิธีการเดิม
วิธีจัดรุ่นแบบ 3 เดือนเด็ดดอกทิ้งกับ 5 วันเก็บดอกไว้นี้ ปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้อายุผลชมพู่แต่ละรุ่นที่อยู่บนต้นต่างกัน 3 เดือน หลักการเดียวกันนี้หากจัดรุ่นแบบ 1 หรือ 2เดือนเด็ดดอกทิ้งกับ 5 วันเก็บดอกไว้ ก็จะได้อายุผลแต่ละรุ่นต่างกัน 1 เดือน สรุปก็คือ ช่วงระยะเวลาเด็ดดอกทิ้ง คือ ช่วงต่างอายุของผลบนต้นนั่นเอง.......ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อต้นมีความสมบูรณ์อย่างแท้จริงเท่านั้น ทั้งนี้เพราะธรรมชาติของชมพู่ออกดอกติดผลได้ตลอดปีแบบไม่มีรุ่นอยู่แล้ว
* ชมพู่เพชรวันนี้เปลี่ยนชื่อเป็น เพชรสายรุ้ง เป็นชมพู่ที่ตลาดนิยมและมีราคาแพงมาก เป็นชมพู่ที่รัฐบาลใช้เป็นผลไม้รับรองการประชุมผู้นำอาเซียน ต้นสมบูรณ์เต็มที่จะมีผลผลิตตลอดปี ถ้ามีการจัดรุ่นสามารถทำได้ถึงละถึง 6 รุ่น คือ......รุ่น 1 ออกดอก ธ.ค.เก็บเกี่ยว ก.พ. (ราคาแพงสุด)........รุ่น 2 ออกดอกเดือน ม.ค.เก็บเกี่ยว มี.ค. ...........รุ่น 3 ออกดอกเดือน ก.พ.เก็บเกี่ยว เม.ย. ..........รุ่น 4 ออกดอก มี.ค.เก็บเกี่ยว พ.ค. ...........รุ่น 5 ออกดอก เม.ย.เก็บเกี่ยว มิ.ย. ..........และรุ่น 6 ออกดอก พ.ค.เก็บเกี่ยว ก.ค. หลังจากนั้นพักต้นเพื่อเตรียมสร้างผลผลิตรุ่นปีต่อไป
* ระยะพัฒนาตั้งแต่ดอกถึงเป็นผล ได้แก่ ดอกตูม-ดอกบาน-ผสมติด-หมวกเจ๊ก-กระโถน-ระฆัง ทุกระยะของการพัฒนาต่างต้องการวิธีปฏิบัติบำรุงที่แตกต่างกัน ต้องการสารอาหารต่างกัน การให้สารอาหารผิดระยะพัฒนาการจะทำให้ส่วนกลางทรงผล (เอว) คอดหรือเล็ก แต่ส่วนล่างของผล (สะโพก) ใหญ่ ลักษณะทรงผลแบบนี้ไม่มีราคา
* การห่อผลเป็นสิ่งจำเป็นละเว้นไม่ได้ เริ่มห่อผลเมื่อขนาดผลเริ่มขึ้นรูป (ทรงกระโถน) โดยใช้ถุงพลาสติกกร๊อบแกร๊บมีหูหิ้ว เจาะรูก้นถุง 2-3 รูขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือหรือใหญ่กว่าเพื่อระบายอากาศ กรณีห่อผลที่เป็นพวงหลายๆผล ควรใช้ถุงขนาดใหญ่กว่าปกติ ห่อแล้วมัดปากถุงโดยรวบหูหิ้วเข้าด้วยกันให้แน่นพอประมาณ
* หยดน้ำ (เหงื่อ) ในถุงกร๊อบแกร๊บเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงปริมาณน้ำในต้น กล่าวคือ ช่วงเช้าหากในถุงมีหยดน้ำเกาะจนกระทั่งสายแสงแดดเริ่มร้อนหยดน้ำที่เกาะระเหยหายไป แสดงว่าต้นชมพู่ได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ในทางกลับกันหากช่วงเช้าไม่มีหยดน้ำเกาะในถุงเลย ก็แสดงว่าต้นได้รับน้ำไม่เพียงพอ ต้องเพิ่มปริมาณน้ำให้มากขึ้น
* การให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่มีส่วนผสมของกากน้ำตาลโดยการฉีดพ่นทางใบ ไม่เหมาะกับชมพู่เนื่องจากกากน้ำตาลในปุ๋ยน้ำชีวภาพรัดผลทำให้ผลเล็ก แม้ว่าคุณภาพภายในผลจะดีแต่จำหน่ายไม่ได้ราคาเพราะตกขนาด ดังนั้นจึงควรให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพเฉพาะทางรากเท่านั้น โดยรดโคนต้นบริเวณทรงพุ่มและในร่องระหว่างแถวปลูก วิธีการนี้ช่วยให้ดินดี ร่วนซุย อากาศและน้ำผ่านสะดวก ต้นชมพู่จะสมบูรณ์กว่าการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างเดียวเดี่ยวๆ หากต้องการให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพทางใบแก่ชมพู่จะต้องทำปุ๋ยน้ำชีวภาพด้วยกลูโคสเท่านั้น
* การควบคุมความสูงของต้นชมพู่สามารถทำได้หลายระดับความสูง แล้วแต่ความสะดวกหรือความพร้อมสำหรับการเข้าไปทำงาน กล่าวคือ หากต้องการยืนบนพื้นดินทำงานก็ให้ตัดยอดคุมความสูงที่ 2-2.5 เมตร หากสูงกว่านี้ต้องใช้ไม้ทำนั่งร้านแบบถาวร ซึ่งสามารถขึ้นไปยืนบนนั่งร้านนั้นทำงานได้ มีชาวสวนหลายคนปล่อยให้ต้นชมพู่สูง 7-10 ม. เป็นการเพิ่มขนาดของต้นทางสูงเพื่อสร้างปริมาณผลผลิต ความสูงระดับนี้ให้ทำนั่งร้านถาวรภายในทรงพุ่มหลายๆ ชั้นซ้อนกันขึ้นไป ความสูงชั้นละประมาณ 1-1.5 เมตรซึ่งก็ได้ผลดี ทั้งนี้ผลของชมพู่ไม่ว่าจะอยู่ ณ ความสูงระดับใดของต้น สามารถได้รับน้ำเลี้ยงไปบำรุงผลให้มีคุณภาพดีเหมือนกันทั่วทั้งต้น
การควบคุมความสูงให้ตัดยอดประธานโดยตรง ณ ระดับความสูงตามต้องการ หลังจากนั้นให้หมั่นตัดยอดที่แตกใหม่ออกเสมอๆ..........การควบคุมขนาดทรงพุ่มที่แผ่ขยายออกทางข้าง ให้ตัดปลายกิ่งประธาน ณ รัศมีความกว้างตามต้องการ หลังจากตัดปลายกิ่งประธานไปแล้วต้นจะแตกยอดกลายเป็นกิ่งใหม่ก็ให้คอยตัดกิ่งใหม่นี้ออกคงเหลือไว้เท่าที่จำเป็น โดยกิ่งแตกใหม่นี้จะไม่ออกดอกติดผลเพราะเป็นกิ่งอายุยังน้อยแต่จะออกดอกติดผลในกิ่งแก่หรือกิ่งประธาน
เทคนิคการควบคุมขนาดทรงพุ่ม (ทางสูงและทางข้าง) หลังจากตัดปลายกิ่งกับยอดประธานแล้ว จะมีกิ่งแตกออกมาใหม่ ให้เลี้ยงกิ่งแตกใหม่ทั้งหมดไว้ก่อนจนได้ความยาว 50-80ซม. หลังจากนั้นแบ่งกิ่งชุดนี้เป็น 2 ส่วนๆหนึ่งตัดทิ้งครึ่งหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งปล่อยตามปกติ กิ่งที่ถูกตัดจะแตกยอดใหม่จึงทำให้มีใบที่ปลายกิ่ง 2 ชุด คือ ชุดที่เกิดจากกิ่งถูกตัดกับชุดอยู่กับกิ่งเดิมซึ่งไม่ได้ตัด.........เมื่อมีใบถึงสองชุดปกคลุมต้นด้านนอกอาจจะทึบเกินไปก็ให้ลิดออกบ้าง เหลือไว้ประมาณ 50-70 เปอร์เซ็นต์ก็พอ ขณะเดียวกันหากมียอดหรือกิ่งเกิดขึ้นใหม่ภายในทรงพุ่มให้เด็ดออกทิ้งตั้งแต่ยังเล็กเท่ายอดผักหวาน ไม่ควรปล่อยไว้จนโตเพราะจะทำให้ภายในทรงพุ่มทึบ มีความชื้นสูง เป็นแหล่งอาศัยของแมลงศัตรูพืช และทำให้เกิดเชื้อรากินเปลือกได้
* อายุต้น 5-6 ปีขึ้นไปให้ผลผลิตมาแล้วตลอด 4 ปี สภาพต้นเริ่มโทรมให้ผลผลิตน้อยและคุณภาพด้อยลง แก้ไขด้วยการตัดแต่งกิ่งแบบทำสาวโดยตัดกิ่งย่อยและกิ่งแขนงออกทั้งหมด คงเหลือกิ่งย่อยติดใบไว้เพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ และตัดแต่งรากช่วงปลายทิ้ง 1 ใน 4 จากนั้นบำรุงเรียกใบอ่อนและบำรุงเรียกรากใหม่ ประมาณ 1 ปีก็จะกลับมาให้ผลผลิตใหม่ที่ดีเหมือนเดิมได้
* ฮอร์โมน เอ็นเอเอ. ช่วยเสริมอ๊อกซินธรรมชาติที่ต้นชมพู่อาจขาดแคลนเนื่องจากความสมบูรณ์ของดินและอินทรียวัตถุ ให้ฉีดพ่นฮอร์โมน เอ็นเอเอ.ทางใบ 2-3 รอบ ตั้งแต่ระยะผลทรงกระโถนถึงเก็บเกี่ยวโดยแบ่งช่วงเวลาให้ จะให้เอ็นเอเอ.เดี่ยวๆหรือผสมร่วมกับแคลเซียมโบรอนและธาตุอาหารเสริมอื่นๆพร้อมกันเลยก็ได้จะช่วยให้ขั้วผลเหนียว ป้องกันผลร่วงผลแตก ขยายขนาดผล รูปทรงดี สีสวย และคุณภาพดี
* การใช้สารยับยั้งการเจริญเติบโต (พาโคลบิวทาโซล) ในชมพู่สามารถทำได้ ความมุ่งหมายเพื่อบังคับชมพู่ให้ออกนอกฤดูหรือในช่วงที่ต้องการ ซึ่งได้ผลเหมือนกับการใช้ในมะม่วงและทุเรียน.......วิธีการให้กับชมพู่ต้นใหญ่หรืออายุต้นมากๆใช้วิธีฉีดพ่นทางใบ กับชมพู่ต้นเล็กหรืออายุต้นยังน้อยใช้วิธีราดโคนต้น ทั้งนี้ก่อนให้สารยับยั้งการเจริญเติบโต ต้นชมพู่จะต้องได้รับการบำรุงให้สมบูรณ์แข็งแรงจริงๆ มิฉะนั้นอาจทำให้ต้นโทรมหรือตายได้
การปฏิบัติบำรุงต่อผลชมพู่ต่างอายุกันไม่ยุ่งยาก เนื่องจากชมพู่เป็นพืชไม้ผลที่ตอบสนองต่อปุ๋ยและฮอร์โมนเร็วอยู่แล้ว หลังจากให้ปุ๋ยหรือฮอร์โมนไปแล้วจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 2-3 วัน
ช่วงบำรุงผลแก่ใกล้เก็บ ถ้าให้ปุ๋ยทางรากด้วย 13-13-21 กับให้ทางใบด้วย 0-21-74 หรือ 0-0-50 ผลเล็กขนาดรองลงมาจะชะงักการเจริญเติบโต แก้ไขด้วยการให้ทางรากด้วย8-24-24 หรือ 9-26-26 แทน ส่วนทางใบไม่ต้องให้
หลังจากเก็บเกี่ยวผลแก่ไปแล้วกลับมาให้ปุ๋ยทางรากด้วย 21-7-14 ควบคู่กับให้ทางใบด้วยธาตุรอง/ธาตุเสริม (เน้น แคลเซียม โบรอน) ก็จะสามารถขยายผลรุ่นต่อมาให้ใหญ่ขึ้นได้.........อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ ให้ปุ๋ยทางรากด้วย 21-7-14 สลับครั้งกับ 8-24-24 กับให้ธาตุรอง/ธาตุเสริม (เน้นแคลเซียม โบรอน) ทางใบ ยืนพื้นไว้แบบให้ประจำๆ ก็ได้ เมื่อผลชุดใดแก่ก็เก็บเกี่ยวไป ผลที่ยังไม่แก่ก็รอเก็บเกี่ยวรอบหลัง ซึ่งก็จะทำให้มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวได้ตลอดปี
* ช่วงผลแก่ใกล้เก็บมีฝนตกชุกมักทำให้ชมพู่ผลร่วงแตก ฉ่ำน้ำ รสเปรี้ยว เนื้อไม่แน่น ไม่กรอบ สาเหตุมาจากไนโตรเจนเกิน แก้ไขด้วยการใส่ปุ๋ยทางรากด้วย 8-24-24 หรือ9-26-26 ไม่ควรใส่ 13-13-21 ควบคู่กับให้ทางใบด้วย 0-21-74 หรือ 0-0-50 + ธาตุรอง/ธาตุเสริม (เน้น แคลเซียม โบรอน) ควบคู่กับงดน้ำเด็ดขาด เปิดหน้าดินโคนต้น ทำช่องทางระบายน้ำและอย่าให้น้ำขังค้างโคนต้น
* ระยะติดดอกติดผลชมพู่จะขาดน้ำไม่ได้เลย ถ้าขนาดน้ำช่วงออกดอกๆจะร่วง เกสรผสมไม่ติด และถ้าขาดน้ำช่วงติดผลจะเกิดอาการเนื้อบางหลวม ไส้กลวง เมล็ดใหญ่ รูปทรงไม่สมบูรณ์ ผลสั้นบิดเบี้ยว เนื้อแข็ง เปลือกแข็ง
* การมีน้ำในดินโคนต้นมากเกินไปจะทำให้ต้นแตกใบอ่อนไม่หยุด ดังนั้นจึงต้องควบคุมปริมาณน้ำโดยเฉพาะในดินโคนต้นให้อยู่ในระดับความชื้น 50-80 เปอร์เซ็นต์ตลอดฤดูที่มีผลอยู่บนต้น.........การปรับสภาพโครงสร้างดิน ไม่เป็นดินเหนียวจัดและไม่เป็นดินทรายจัด แต่ให้มีส่วนผสมของอินทรียวัตถุกับเนื้อดิน 1 : 3 ที่สุด
* ชมพู่ทนต่อน้ำท่วมโคนต้นได้นานนับเดือนแต่ต้องเป็นน้ำสะอาด เพื่อไม่ให้ต้นที่อยู่ในระหว่างน้ำท่วมโทรมมากเกินไปให้พิจารณาตัดกิ่งออกบ้างเพื่อลดการคายน้ำ ควบคู่กับฉีดพ่นธาตุอาหารหลัก/รอง/เสริม ทางใบ ทุก 3-5 วัน
สายพันธุ์
พันธุ์ทั่วไป : มะเหมี่ยว. แก้มแหม่ม. กะหลาป๋า. ซาลาเปา. น้ำหอมหรือน้ำ
ดอกไม้. พลาสติก. สาแหรก.
พันธุ์นิยม : ทับทิมจันทร์. ทูลเกล้า. เพชรชมพูพล. เพชรสายรุ้ง.
เพชรสามพราน.
ปัจจุบันมีชมพู่สายพันธุ์ที่มีผู้นำเข้ามาจากต่างประเทศจำนวนมาก แต่ละสายพันธุ์ต่างมีข้อเด่นและข้อด้อยแตกต่างกัน การตัดสินใจว่าสายพันธุ์ไหนดีกว่ากันนั้น ต้องถือหลักความนิยมของผู้บริโภคเป็นหลัก
การขยายพันธุ์
- ทาบกิ่ง (ดีที่สุด). ชำกิ่ง. ตอน. เสียบเปลือก. เปลี่ยนยอด.
- ใช้รากแก่ของชมพู่พันธุ์อะไรก็ได้ขนาดเท่าดินสอดำ ตัดแต่งรากฝอยออกบ้างเล็กน้อยใส่ถุงขุยมะพร้าวเป็นตุ้มทาบแทนตอจากเพาะเมล็ด ทำปากฉลามแล้วทาบกับกิ่งชมพู่พันธุ์ดีที่ต้องการด้วยวิธีทาบปกติ รากแก่ในถุงขุยมะพร้าวจะมีรากงอกใหม่เองพร้อมกับแผลทาบติดได้เหมือนการทาบด้วยตอจากเพาะเมล็ดทุกประการ
เตรียมแปลง
จัดแปลงแบบยกร่องแห้งลูกฟูก สันลูกฟูกสูง 50-80 ซม.โค้งหลังเต่า กว้าง 4-5 ม. ยาวตามความเหมาะสม ร่องระหว่างลูกฟูกลึก 20-30 ซม. กว้าง 1 ม. ก้นสอบ 30-50 ซม.
ระยะปลูก
- ระยะปกติแถวเดี่ยวกลางสันแปลง 4 X 5 ม.
- ระยะชิดแถวคู่สลับฟันปลาที่ริมแปลง 3 X 4 ม.
เตรียมดินและอินทรีย์วัตถุ
- ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา (แห้งเก่าข้ามปี) ปีละ 2 ครั้ง
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ ปีละ 2 ครั้ง
- ให้กระดูกป่น ปีละ 1 ครั้ง
- คลุมโคนต้นด้วยเศษพืชแห้งหนาๆเต็มพื้นที่บริเวณทรงพุ่ม ล้ำออกไปถึงนอกเขตทรงพุ่ม
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิงหรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
หมายเหตุ :
- การฝังซากสัตว์ เช่น หอยเชอรี่ ปลาสด เป็นชิ้นเท่าลูกมะนาวหรือบดละเอียด ที่ชายเขตทรงพุ่ม 4-5 หลุม/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม. ฝังปีเว้นปี เพื่อให้ต้นมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม. ต่อเนื่องหลายๆปีจะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์สูงพร้อมต่อการบำรุงทุกขั้นตอน
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ (ทางใบ-ทางราก) บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ไม่แตกใบอ่อน ผลหยุดขยายขนาดแล้วกลายเป็นผลแก่ การให้ทางใบอาจเป็นแหล่งอาศัยและแพร่ระบาดของเชื้อราได้
- ให้กลูโคสหรือนมสัตว์สดเฉพาะช่วงสำคัญ เช่น เร่งใบอ่อนเป็นใบแก่ สะสมอาหาร บำรุงผลกลาง ช่วงละ 1-2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 20-30 วัน........ถ้าให้บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นเกิดอาการนิ่ง ไม่ตอบสนองต่อสารอาหารหรือฮอร์โมนใดๆทั้งสิ้น
- ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพความสมบูรณ์สูง
เตรียมต้น
ตัดแต่งกิ่ง :
ชมพู่ออกดอกติดผลที่ลำต้น ใต้ท้องกิ่งขนาดใหญ่ และซอกใบปลายกิ่งที่เริ่มแก่แล้ว ช่วงเตรียมต้นสะสมอาหารไม่ควรมีใบมากแต่เมื่อเริ่มออกดอกจนกลายเป็นผลแล้วจึงให้มีใบมากได้ หรือระหว่างที่มีดอก-ผลอยู่นั้น ภายนอกทรงพุ่มควรทึบเพื่อป้องกันแสงแดด ลม และสังเคราะห์อาหาร แต่ภายในต้องโปร่งเพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก
การตัดแต่งกิ่งครั้งแรกควรตัดให้เหลือใบประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อใบอ่อนชุดใหม่ออกมาแล้วให้มีใบประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์จะช่วยให้การออกดอกติดผลดี
- ตัดกิ่งที่บังแสงแดดต่อกิ่งอื่นออก ทำให้ทรงพุ่มโปร่งจนแสงแดดส่องได้ถึงทุกกิ่งทั่วภายในทรงพุ่ม กิ่งได้รับแสงแดดจะสมบูรณ์ดีกว่ากิ่งไม่ได้รับแสงแดดหรือได้รับแสงแดดน้อย
- ตัดกิ่งกระโดง กิ่งในทรงพุ่ม กิ่งคดงอ กิ่งชี้ลง กิ่งไขว้ กิ่งหางหนู กิ่งเป็นโรค และกิ่งที่ออกดอกติดผลแล้วเพื่อเรียกยอดใหม่สำหรับออกดอกติดผลรุ่นใหม่ของปีต่อไป การตัดแต่งกิ่งภายในทรงพุ่มควรให้โปร่งจนแสงส่องผ่านลงไปถึงพื้นดินโคนต้นได้ 20-30 เปอร์เซ็นต์
- ตัดยอดกิ่งประธาน (ผ่ากบาล) ณ ความสูงต้นตามต้องการ นอกจากช่วยทำให้แสงแดดผ่านจากยอดเข้าสู่ภายในทรงพุ่มลงถึงพื้นได้อย่างทั่วถึงแล้ว แสงแดดที่ร้อนยังช่วยกำจัดเชื้อราได้เป็นอย่างดีและยังควบคุมความสูงทรงพุ่มได้อีกด้วย
- นิสัยการออกดอกของชมพู่ไม่จำเป็นต้องกระทบหนาว แต่ถ้าตัดแต่งกิ่ง-เรียกใบอ่อนช่วงต้นหน้าฝนแล้วเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตามลำดับอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ ย่อมทำให้ต้นมีความสมบูรณ์เต็มที่ดีกว่าการตัดแต่งกิ่งในช่วงอื่น
ตัดแต่งราก :
ระยะอายุต้นยังน้อยไม่ควรตัดแต่งราก แต่ถ้าต้องการสร้างรากใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการหาอาหารดียิ่งขึ้นใช้วิธีล่อรากด้วยการพูนโคนต้นด้วยดิน 3 ส่วนกับอินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน........ส่วนต้นอายุมากหรือต้นแก่ที่ผลผลิตเริ่มลดให้ตัดแต่งรากได้พร้อมกับตัดแต่งกิ่งแบบทำสาว