พุทรา
ลักษณะทางธรรมชาติ
* เป็นไม้ผลยืนต้นอายุหลายสิบปี ปลูกได้ทุกภาคทุกพื้นที่ และทุกฤดูกาล ชอบดำร่วนมีอินทรีย์วัตถุมากๆ ต้นที่ปลูกในแปลงแบบยกร่องแห้งลูกฟูกจะมีอายุยืนนานกว่าต้นที่ปลูกในแปลงแบบยกร่องน้ำหล่อ ต้อง การความชื้นสูงแต่ไม่ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังค้างนาน
* พันธุ์พื้นเมืองจะเจริญเติบโตเป็นลำต้นสูงแล้วแตกกิ่งสาขาเป็นพุ่มเหมือนไม้ผลยืนต้นทั่วๆไป
* สายพันธุ์ต่างประเทศ การเจริญเติบโตส่วนลำต้นช้า แต่กิ่งแตกออกมาจากลำต้นนั้นกลับเจริญเติบโตเร็วมาก กิ่งจึงยาวและเรียวเล็ก ถ้าปล่อยให้ยาวตามปกติโดยไม่มีการจัดการใดๆทรงต้นจะเป็นพุ่มขนาดใหญ่แผ่ปกคลุมพื้นดิน การแก้ไขก็คือ ช่วงที่กิ่งประธานแตกออกมาจากลำต้นนั้น ให้จัดกิ่งประธานชี้ตรงขึ้นโดยมัดติดกับหลักไว้ ระหว่างกิ่งประธานกำลังเจริญยาวขึ้นนั้นจะมีกิ่งแขนงและกิ่งย่อยแตกออกมาเรื่อยๆ ซึ่งจะต้องจัดระเบียบให้กิ่งเหล่านี้เจริญยาวไปตามทางทิศที่ต้องการตลอดเวลาด้วยจนกระทั่งออกดอกติดผลถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต
* พุทราพันธุ์ใหม่จากต่างประเทศ ขยายพันธุ์โดยเสียบยอด หรือทาบกิ่งกับตอพันธุ์พื้นเมืองจะโตเร็วให้ผลผลิตดีและมีระบบรากแข็งแรงกว่าต้นพันธุ์ดีที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนส่วนของยอดพันธุ์ดีจากกิ่งข้าง เมื่อนำมาเสียบยอดบนตอพื้นเมืองจะโตช้าให้ผลผลิตไม่ดี แต่ถ้าใช้ส่วนยอดของกิ่งกระโดงพันธุ์ดีเสียบบนตอพื้นเมืองจะโตเร็วและให้ผลผลิตดี
* นิสัยออกดอกง่าย กิ่งไหนพร้อมก่อนกิ่งนั้นเป็นออกดอกทันที ส่วนกิ่งที่ยังไม่พร้อมก็จะออกทีหลังทำให้มีดอกผลหลายรุ่น บำรุงยาก กรณีนี้แก้ไขโดยการฉีดพ่นสารอาหารเปิดตาดอกถี่ขึ้นเพื่อเร่งกิ่งที่ยังไม่พร้อมให้พร้อมเร็วขึ้น
* ต้นสมบูรณ์ดี ผ่านการบำรุงแบบให้มีอาหารกินตลอด 24 ชม.ต่อเนื่องนานหลายปี หลังตัดแต่งกิ่ง ประมาณ 2-2 เดือนครึ่งก็จะเริ่มออกดอก
* ธรรมชาติการออกดอกแปลกจากไม้ผลอย่างอื่น ในกิ่งแขนงกิ่งเดียวกันนั้นบางครั้งดอกที่ปลายกิ่งออกก่อนแล้วออกตามลำดับมาทางโคนกิ่ง แต่บางครั้งดอกที่โคนกิ่งออกก่อนแล้วออกตามลำดับไปทางปลายกิ่ง ระยะเวลาห่างกัน 15-20 วัน การที่ดอกออกมาไม่พร้อมกันส่งผลให้การเจริญพัฒนาของผลพลอยต่างกันไปด้วย
* เป็นดอกสมบูรณ์เพศมีเกสรทั้งตัวผู้ตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ถ้าไม่มีแมลงมาช่วยเกสรแต่ขอให้มีลมช่วยเท่านั้นเกสรก็สามารถผสมกันติดเป็นผลได้
* เกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างไม่สมบูรณ์เกิดจากขาดสารอาหาร/ฮอร์โมนหรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม (อากาศร้อนหรือฝนตกชุก) แล้วผสมกันแล้วพัฒนาเป็นผลจะเป็นผลไม่สมบูรณ์ ไม่โต รูปทรงบิดเบี้ยว
* ออกดอกติดผลได้แบบไม่มีฤดูกาล หรือเมื่อใดที่เริ่มลงมือปฏิบัติบำรุงตามขั้นตอน จากนั้นก็จะออกดอกติดผลได้
* ปัจจุบันมีการนำสายพันธุ์จากต่างประเทศเข้ามาหลากหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคค่อนข้างสูง
* ให้ผลลิตเร็วด้วยอายุต้นเพียง 4-6 เดือนหลังปลูกก็เริ่มให้ผลผลิตรุ่นแรกแล้ว
* ศัตรูพืชของพุทราทุกสายพันธุ์ คือ หนอนเจาะผล ถึงขนาดสร้างความเสียหายแก่ผลผลิตถึง 3 ใน 4 ส่วน และจำหน่ายได้เพียง 1 ใน 4 ส่วนของผลผลิตทั้งหมด กระนั้นชาวสวนพุทราก็ยังอยู่ได้ แสดงว่าต้นทุนการผลิตต่ำถึงต่ำมากนั่นเอง
* ออกดอกง่าย ถ้ากิ่งที่แตกออกมาแก่ได้อายุเป็นต้องออกดอกทันที แม้ไม่ได้บำรุงสะสมอาหารเพื่อการตาดอกและไม่ต้องเปิดตาดอกก็สามารถออกดอกได้
สายพันธุ์
- พันธุ์พื้นเมืองมีเพียงสายพันธุ์เดียว
- สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่ สามรส. เจดีย์หรือเจดีย์ทอง. ไข่เต่า.บอมเบ (แอ๊ปเปิ้ล). กัลกัตตา. ถ้วยทอง. เหรียญทอง. เหรียญทองพิเศษ.
- สายพันธุ์ที่เคยได้รับความนิยมสูงแต่ปัจจุบันเสื่อมความนิยมลงแล้ว ได้แก่ อีดก. อีด่าง.อีหวาน. พิเศษหวาน. ครูบา. ศรีราชา. พันท้ายนรสิงห์. ดกพิเศษ. สีนวล. สีทอง. ฉนวนทอง. สาลี่ (บอมยักษ์). พาราณสี. มัทราส. การาจี. สหรัญประ. โกลด์สตาร์. โฮมสเตท.
- สายพันธุ์จากต่างประเทศหลายสายพันธุ์ที่กำลังได้รับความนิยมและมีการตั้งชื่อสายพันธุ์แล้วในปัจจุบัน ได้แก่ จัมโบ้. นมสด.
หมายเหตุ :
ยังมีสายพันธุ์ต่างประเทศที่มีคุณสมบัติดีอีกหลายสายพันธุ์แต่ยังไม่มีการตั้งชื่อและขาดการประชาสัมพันธ์....พุทรานมสดไม่ใช่มีรสชาติหรือกลิ่นเหมือนนมสด แต่ที่เรียกว่านมสดเพาะเนื้อฉ่ำน้ำเล็กน้อยแต่ยังคงความหวานกรอบเหมือนพุทราอยู่เท่านั้น
การขยายพันธุ์
- พันธุ์พื้นเมืองขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ดและทาบกิ่ง การเตรียมเมล็ดโดยแช่น้ำร้อน 50 องศาแล้วเพาะทั้งเปลือก ใช้เวลา 20 วันงอก...เพาะโดยขลิบเปลือกเมล็ดก่อน ใช้เวลา 15 วันงอก.....เพาะโดยทุบเปลือกเมล็ดให้แตกก่อน ใช้เวลา 10 วันงอก...และเพาะโดยกะเทาะเปลือกเมล็ดออกเหลือแต่เมล็ดใน ใช้เวลา 7 วันงอก
- พันธุ์ต่างประเทศขยายพันธุ์โดยเพาะเมล็ด (กลายพันธุ์). ตอน. ทาบกิ่ง. ตอน. เพาะเมล็ดพื้นเมืองเสริมรากเสียบยอดพันธุ์ดี(ดีที่สุด).
ระยะปลูก
- ระยะปกติ 4 X 4 ม. หรือ 4 X 6 ม.
- ระยะชิด 2 X 2 ม. หรือ 2 X 3 ม.
เตรียมดินและอินทรีย์วัตถุ
- ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา (แห้งเก่าข้ามปี) ปีละ 2 ครั้ง
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ ปีละ 2 ครั้ง
- ให้กระดูกป่น ปีละ 1 ครั้ง
- คลุมโคนต้นด้วยเศษพืชแห้งหนาๆเต็มพื้นที่บริเวณทรงพุ่ม ล้ำออกไปถึงนอกเขตทรงพุ่ม
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิงหรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
หมายเหตุ :
- การฝังซากสัตว์ เช่น หอยเชอรี่ ปลาสด เป็นชิ้นเท่าลูกมะนาวหรือบดละเอียด ที่ชายเขตทรงพุ่ม 4-5 หลุม/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม. ฝังปีเว้นปี เพื่อให้ต้นมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม. ต่อเนื่องหลายๆปีจะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์สูงพร้อมต่อการบำรุงทุกขั้นตอน
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ (ทางใบ-ทางราก)บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ไม่แตกใบอ่อน ผลหยุดขยายขนาดแล้วกลายเป็นผลแก่ การให้ทางใบอาจเป็นแหล่งอาศัยและแพร่ระบาดของเชื้อราได้
เตรียมต้น
ตัดแต่งกิ่ง :
- การตัดแต่งกิ่งพุทราต่างจากไม้ผลยืนต้นอื่นๆอย่างสิ้นเชิงซึ่งอันที่จริงควรเรียกว่า ตัดต้น-แต่งกิ่ง จะถูกต้องมากกว่า กล่าวคือ หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตจนหมดรุ่นไปแล้วจะต้องตัดต้นทิ้งให้เหลือแต่ตอ เสร็จแล้วบำรุงตอเรียกยอดใหม่ ได้ยอดใหม่แล้วบำรุงต่อไปตามปกติ ซึ่งยอดใหม่นี้จะเจริญเติบโตกลายเป็นกิ่งประธาน จากกิ่งประธานก็มีกิ่งแขนง-กิ่งย่อยออกมา และกิ่งแขนง-กิ่งย่อยนี้จะออกดอกติดผล ขั้นตอนตัดต้นต้องระวังเพราะส่วนของลำต้นพันธุ์ดีเสียบอยู่บนต้นตอพื้นเมือง ต้องพิจารณาให้ดีว่าลำต้นส่วนไหนเป็นตอพันธุ์พื้นเมืองและส่วนไหนเป็นลำต้นพันธุ์ดี การตัดต้นให้ตัดส่วนที่เป็นลำต้นพันธุ์ดีเท่านั้นโดยตัดให้เหลือความยาว (สูง) ไม่น้อยกว่า 30-50 ซม.เสมอ
หลังจากบำรุงตอเรียกใบอ่อนแล้วจะมียอดแตกใหม่ออกมาจากส่วนตอ (ลำต้น) พันธุ์ดี ยอดแตกใหม่ชุดแรกจะเป็นกิ่งประธาน จากกิ่งประธานจะมีกิ่งแขนง และจากกิ่งแขนงก็จะมีกิ่งย่อย ซึ่งดอกและผลจะออกทั้งจากกิ่งแขนงและกิ่งย่อย ขั้นตอนนี้ให้พิจารณาตัดกิ่งแขนงและกิ่งย่อยที่บังแสงแดดต่อกิ่งอื่นออกบ้างเพื่อทำให้ทรงพุ่มโปร่งจนแสงแดดส่องได้ทั่วถึงทุกกิ่ง กิ่งที่ได้รับแสงแดดจะสมบูรณ์ดีกว่ากิ่งที่ไม่ได้รับแสงแดดหรือได้รับแสงแดดน้อย
- นิสัยการออกดอกของพุทราไม่จำเป็นต้องกระทบหนาว หลังจากตัดต้น-แต่งกิ่งแล้วเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงได้เลย
ตัดแต่งราก :
- พุทราระยะต้นอายุยังน้อยไม่ควรตัดแต่งราก แต่ถ้าต้องการสร้างรากใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการหาอาหารดียิ่งขึ้นใช้วิธีล่อรากด้วยการพูนโคนต้นด้วยดิน 3 ส่วนกับอินทรีย์วัตถุ 1 ส่วน
- ต้นอายุหลายปี ระบบรากเก่าและแก่มาก ให้พิจารณาตัดแต่งรากส่วนปลายออก 1 ใน 4 ด้วยการพรวนดินรอบทรงพุ่มลึก 10-15 ซม. หลังจากให้ฮอร์โมนบำรุงรากไปแล้วต้นจะแตกรากใหม่จำนวนมากขึ้น และมีประสิทธิภาพในการดูดซับสารอาหารได้ดีกว่าเดิม
ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อพุทรา
1.เรียกใบอ่อน - เปิดตาดอก
ทางใบ :
งดการฉีดพ่นสารอาหารทุกชนิดเพราะบนต้นไม่มีใบ (มีแต่ตอ) แต่หากจะฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรเพื่อกำจัดเชื้อราและไข่แม่ผีเสื้อที่อาจจะแอบแฝงอยู่ตามผิวเปลือกทั้งต้นและกิ่งก็สามารถทำได้
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24( ½-1)กก./ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำเปล่า ทุก 3-5 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มให้หลังจากตัดต้นจนเหลือแต่ตอแล้ว
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิงหรือจุลินทรีย์หน่อกล้วยรดบนตอเปล่าๆ เพื่ออาศัยจุลินทรีย์ช่วยกำจัดเชื้อราบนผิวเปลือกตอและปรับปรุงบำรุงดินด้วย
- ใบอ่อนเมื่อออกมาแล้วเร่งต้องระวังโรคและแมลงศัตรูเข้าทำลายใบ เพราะหากใบอ่อนชุดใดชุดหนึ่งถูกลายเสียหายจะต้องเริ่มที่ตัดตอใหม่ซึ่งจะทำให้เสียเวลาและกำหนดระยะการออกดอกติดผลต้องเลื่อนออกไปอีกด้วย
- เรียกใบอ่อนโดยการใส่ปุ๋ยทางรากสูตร 8-24-24 จะช่วยให้ต้นได้สะสมตาดอกไว้ล่วงหน้า
- พุทราไม่จำเป็นต้องเร่งใบอ่อนเป็นใบแก่
2.สะสมอาหารเพื่อการออกดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 0-42-56(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 5-7วัน ติดต่อกัน 2-3 รอบแล้วให้น้ำ 100 ล.+ เอ็นเอเอ.25 ซีซี.+ ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. สลับ 1 รอบ ฉีดพ่นพอเปียกใบ
- ฉีดพ่นสารกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 หรือ 9-26-26 สูตรใดสูตรหนึ่ง (1/2-1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำปกติทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- เริ่มให้เมื่อกิ่งประธานสูงขึ้นค้าง และมีกิ่งแขนง-กิ่งย่อยปริมาณมาก
- ไม่จำเป็นต้องสะสมอาหารเพื่อการออกดอกก็สามารถออกดอกได้จำนวนมากถ้าต้นสมบูรณ์ดีจริง แต่หากได้ให้อาหารกลุ่มสะสมตาดอกเพียง 1-2 ครั้ง ก่อนออกดอกตามธรรมชาติก็จะช่วยให้การออกดอกดีขึ้น
- การตัดยอดประธาน ณ รอยต่อระหว่างกิ่งอ่อนกับกิ่งแก่หลังจากได้ความยาวตามต้องการแล้วจะส่งผลกิ่งแขนงและกิ่งย่อยออกดอกดีขึ้น
- ปริมาณ 8-24-24 หรือ 9-26-26 ใส่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณการติดผลในรุ่นที่ผ่านมา กล่าวคือ ถ้ารุ่นที่ผ่านมาติดผลดกมาก ผลผลิตมีคุณภาพดีมาก ให้ใส่ในปริมาณที่มากขึ้น แต่ถ้ารุ่นที่ผ่านมาติดผลดกน้อยหรือไม่ติดผลเลย ให้ใส่ในปริมาณปานกลาง
- พุทราไม่จำเป็นต้องปรับ ซี/เอ็น เรโช. และไม่จำเป็นต้องเปิดตาดอก เพราะนิสัยพุทราออกดอกเองได้แม้จะได้รับเพียง 8-24-24
3.เปิดตาดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ สาหร่ายทะเล 100 ซีซี.+ ฮอร์โมนไข่ 100 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ เอ็นเอเอ.25 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
- ให้ 8-24-24(½ กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- ให้น้ำปกติทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- แม้ว่านิสัยพุทราจะออกดอกเองได้โดยไม่ต้องเปิดตาดอกก็ตาม แต่หากดอกที่ออกมาเองมีจำนวนน้อย หรือยังพอเหลือพื้นที่ในกิ่งแขนงและกิ่งย่อยให้ออกดอกได้อีก กอรปกับพุทราออกดอกไม่เป็นรุ่น ก็ให้เปิดตาดอกซ้ำด้วยสาหร่ายทะเลหรือฮอร์โมนไข่อีก 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน หรือจนกระทั่งดอกชุดแรกบานแล้วจึงยุติการเปิดตาดอกซ้ำ วิธีนี้จะทำให้ได้ดอกจำนวนมากเป็นรุ่นใกล้เคียงกันดี
4.บำรุงดอก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 15-45-15(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม + ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี.+ เอ็นเอเอ.100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ 2-3 รอบห่างกันรอบละ 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
ทางราก :
ให้น้ำปกติทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ช่วงที่ดอกเริ่มทยอยแทงออกมาให้บำรุงด้วยฮอร์โมน เอ็นเอเอ. 1-2 รอบ จะช่วยบำรุงเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมียให้สมบูรณ์พร้อมรับผสม แต่ต้องใช้ด้วยระมัดระวังเพราะถ้าให้เข้มข้นเกินไปจะเกิดความเสียหายต่อดอกและถ้าให้อ่อนเกินไปก็จะไม่ได้ผล
- ช่วงดอกเริ่มแทงออกมาใหม่ๆให้แคลเซียม โบรอน. 1 รอบ จะช่วยให้ดอกสมบูรณ์ผสมติดดี
- ช่วงที่ดอกทยอยออกมานี้ควรฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรบ่อยขึ้น เพื่อป้องกันกำจัดโรคและแมลงจนถึงช่วงดอกบาน
- ช่วงดอกเริ่มบานจำนวนมากแล้วควรงดการฉีดพ่นทางใบโดยเฉาะช่วงกลางวัน (08.00-12.00 น.) เพราะอาจทำให้เกสรเปียกจนผสมไม่ติดได้ หากจำเป็นต้องฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรให้ฉีดพ่นช่วงหลังค่ำ
- ระยะดอกบานตรงกับช่วงฝนชุกเกสรจะเปียกชื้นทำให้ผสมไม่ติด แก้ไขโดยการกะระยะเวลาบำรุงให้ดอกออกมาแล้วไม่ตรงกับช่วงฝนชุกเท่านั้น แต่ถ้าดอกออกมาตรงกับช่วงแล้งอากาศร้อนมากเกสรจะฝ่อทำให้ผสมไม่ติดเช่นกัน แก้ไขโดยการสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศและที่พื้นดินในทั้งในแปลงปลูกและรอบๆแปลงปลูก...มาตรการบำรุงต้นและดอกให้สมบูรณ์อย่างแท้จริงอยู่เสมอจะช่วยลดความสูญเสียได้เป็นอย่างมาก
- เพื่อความมั่นใจในเปอร์เซ็นต์หรือประสิทธิภาพของฮอร์โมน เอ็นเอเอ. แนะนำให้ใช้ฮอร์โมนเอ็นเอเอ.วิทยาศาสตร์แทนฮอร์โมน เอ็นเอเอ.ทำเองจะได้ผลกว่า
- ฉีดพ่นสารอาหารเพื่อบำรุงดอกด้วยเครื่องมือฉีดพ่นที่มีแรงลมพ่นเบาที่สุดตามความเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อส่วนต่างๆของดอก ฉีดพ่นที่ช่อดอกโดยตรงพอเปียกหรือฉีดพ่นให้ทั่งทรงพุ่มพอเปียกใบก็ได้
- บำรุงดอกช่วงฝนชุกให้เน้น “ฮอร์โมนน้ำดำ และ แคลเซียม โบรอน” โดยให้เมื่อดอกออกมาแล้วหรือให้แบบสะสมล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเปิดตาดอก ด้วยวิธีให้เดี่ยวๆหรือผสมรวมไปกับธาตุอาหารอื่นๆก็ได้
- การไม่ใช้สารเคมีเลยติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะมีผึ้งหรือมีแมลงธรรมชาติอื่นเข้ามาช่วยผสมเกสรส่งผลให้ติดผลดกขึ้น
5.บำรุงผลเล็ก
ทางใบ :
- ให้น้ำ 100 ล.+ 15-45-15(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 5-7 วัน
- ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
- เทคนิคการให้ปุ๋ยทางใบด้วยสูตร 15-45-15 ซึ่งเป็นสูตรเดียวกับบำรุงดอกนั้น
- วัตถุประสงค์เพื่อให้ P. สร้างเมล็ดก่อนในช่วงแรก ซึ่งเมล็ดนี้จะเป็นผู้สร้างเนื้อต่อไปเมื่อผลโตขึ้น
ทางราก :
- ให้ยิบซั่มธรรมชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการใส่เมื่อช่วงเตรียมดิน
- ให้น้ำหมักชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง + 21-7-14 สลับกับ 8-24-24(1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
- ให้น้ำทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
พุทราออกดอกติดผลหลายชุดในรุ่นเดียวกัน การบำรุงด้วย “ธาตุรอง/ธาตุเสริม + ฮอร์โมน” โดยไม่มีธาตุหลักเลยนั้นจะไม่ส่งผลเสียต่อดอกและผล แต่ตรงกันข้ามที่ธาตุอาหารกลุ่มนี้จะช่วยบำรุงทั้งดอกและผลเล็กไปพร้อมๆกัน
6.บำรุงผลกลาง
ทางใบ :
ให้น้ำ 100 ล.+ 21-7-14(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + ฮอร์โมนไข่ 25 ซีซี.+ ไคโตซาน 100 ซีซี.+ แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 5-7 วัน
ทางราก :
- ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 21-7-14(1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./ครั้ง/เดือน
- ให้น้ำปกติทุก 2-3 วัน
หมายเหตุ :
- ให้ครั้งแรกเมื่อเมล็ดของผลชุดแรกเริ่มเข้าไคล
- ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน 1-2 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดระยะผลกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก
7.บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว
ทางใบ :
ให้น้ำ 100 ล.+ 0-21-74(200 กรัม)หรือ 0-0-50(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. หรือ น้ำ 100 ล.+ มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันก่อนเก็บเกี่ยว ฉีดพ่นใบพอเปียกใบ
ทางราก :
ให้ 8-24-24 หรือ 13-13-21 สูตรใดสูตรหนึ่ง (1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
- งดน้ำเด็ดขาดจนถึงวันเก็บเกี่ยว
หมายเหตุ :
- การบำรุงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวโดยให้ทางรากด้วย 8-24-24 เหมาะสำหรับต้นที่มีผลหลายรุ่นซึ่งหลังจากเก็บเกี่ยวผลแก่รุ่นแรกไปแล้วจะช่วยบำรุงผลชุดหลังต่อ นอกจากนี้ยังทำให้ต้นไม่โทรมเหมาะสำหรับการเตรียมความพร้อมต้นต่อการปฏิบัติบำรุงรุ่นปีต่อไปอีกด้วย
- การบำรุงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวโดยให้ทางรากด้วย 13-13-21 หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วต้นมักโทรม ต้องบำรุงเพื่อฟื้นฟูสภาพต้นเรียกความสมบูรณ์กลับคืนมาก่อนจึงจะเข้าสู่การผลิตรุ่นต่อไปได้
พุทราจัมโบ้
* พุทราจัมโบ้มีกลิ่น รส เนื้อ หอมหวานกรอบ เนื้อไม่มีเมือก รูปร่างทรงผลกลมแป้นเล็กน้อยเหมือนผลแอปเปิ้ล
* กิ่งพันธุ์ที่ตอนจากกิ่งข้างชายพุ่ม ปลายกิ่งชี้ลง เมื่อนำมาปลูกจะโตช้ามาก แต่
ถ้าเป็นกิ่งตอนจากกิ่งกระโดงที่แตกมาจากกิ่งประธานหรือใช้กิ่งยอดประธานโดยตรง อายุกิ่งกลางอ่อนกลางแก่ กำลังพุ่ง เมื่อนำลงปลูกแล้วไม่นานก็แตกยอดใหม่ โตเร็วและให้ผลผลิตดีกว่ากิ่งชายพุ่ม
* พุทราจัมโบ้ก็เหมือนกับพุทราต่างประเทศพันธุ์อื่นๆ จะออกดอกติดผลจากกิ่งแตกใหม่เสมอแม้ขณะมีดอกและผลอยู่ในกิ่งๆนั้นก็ยังเจริญยาวแล้วออกดอกติดผลซ้อนมาอีกได้ การปล่อยให้กิ่งยาวอย่างไม่สิ้นสุดแล้วมีดอกและผลซ้อนออกมานั้น ดอกและผลชุดหลังมักไม่ค่อยมีคุณภาพ แนวทางแก้ไข คือ เมื่อกิ่งที่มีดอกและผลเจริญยาวตามต้องการแล้วให้เด็ดยอดทิ้งไป เมื่อไม่มียอด-ดอก-ผลชุดใหม่เกิดขึ้น น้ำเลี้ยงที่มีอยู่ก็จะถูกนำไปให้แก่ผลชุดแรกในกิ่งนั้นแทน
* ปัญหาที่ขนาดผลใหญ่และน้ำหนักมากเกินตัว บนกิ่งแขนงบางกิ่งมีถึง 3-4 ผล กิ่งแขนงเล็กรับน้ำหนักไม่ไหวจึงฉีกหัก ส่งผลให้ผลในกิ่งนั้นเสียหายทั้งหมดเพราะน้ำเลี้ยงไปหล่อเลี้ยงไม่พอ
* ไม่ค่อยมีปัญหาหนอนแดง เหมือนพุทราพันธุ์อื่นแต่กลับมีปัญหา แมลงวันทองเข้าทำลายช่วงที่ผิวผลเริ่มๆออกสีเหลืองนวล การป้องกันต้องใช้วิธีห่อผลเท่านั้น
* ช่วงผลเล็กจะมี เพลี้ยไฟ ไร เข้าดูดกินน้ำเลี้ยงที่ผิว ถ้าผิวถูกทำลายแล้วจะเป็นตำหนิไปจนกระทั่งผลโตเก็บเกี่ยว แนวทางแก้ไข คือ ป้องกันโดยฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรบ่อยๆ
* ผลของพุทราจัมโบ้ต้องปล่อยให้แก่คาต้นจึงจะรับประทานได้อร่อย ไม่ใช่ผลไม้ประเภทที่ต้องนำมาบ่มก่อน การบำรุงขั้นตอนนี้ต้องสังเกตลักษณะผลให้ดี เมื่อแน่ใจว่าอีก 1 อาทิตย์จะเก็บได้ก็ให้เริ่มบำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว
* เมล็ดของพุทราจัมโบ้มีขนาดเล็กอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องบำรุงด้วยสูตร หยุดเมล็ด-สร้างเนื้อ แต่ให้บำรุงต่อไปตามปกติ
* ข้อดีของพุทราจัมโบ้คือไม่มีหนาม ช่วยให้การทำงานสะดวก แต่ข้อเสียก็คือ ต้องมีไม้ค้ำกิ่งทำให้สิ้นเปลืองต้นทุน แนวทางแก้ปัญหาที่น่าพิจารณานำมาใช้ก็คือ การทำคอกสี่เหลี่ยมล้อมรอบต้นเมื่อกิ่งเจริญยาวขึ้นก็ให้จัดระเบียบแต่ละกิ่งขึ้นพาดกับไม้ล้อมคอก
ซึ่งอาจจะมีมากกว่า 1ชั้นเหมือนค้างองุ่น หรือดัดแปลงรูปแบบค้างตามความเหมาะสมก็ได้